วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

เที่ยวสวิส 5 .... ยอดเขาทิตลิส และ ริกิ





 ล๊อกที่แล้วเราพาท่านไปชมเมืองลูเซิร์นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและเมืองที่ว่าสวยงามมากที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์มานะครับ มาบล๊อกนี้เราก็ยังพักที่เมืองลูเซิร์นต่อ แต่จะพาคุณๆออกไปเที่ยวด้านนอกเมืองบ้าง โดยมีเป้าหมายที่ยอดเขาทิตลิส (Titlis) ครับ 


สถานีรถไฟ Engelberg


Mout Titlis ตั้งอยู่ที่เมือง Engelberg ต้องนั่งรถไฟออกไป ซึ่งก็มีรถไฟให้เราได้โดยสารออกไปทุกๆนาทีที่ 6 และนาทีที่ 35 ของทุกๆชั่วโมง และใช้เวลาเดินทางเพียง 50 นาทีเท่านั้น สะดวกมากๆครับ ... วันนี้เราได้รถไฟขบวน IR (Inter Region) เป็นขบวน Luzern - Engelberg Express นั่งสบายๆ ชมวิวข้างทาง ผ่านทุ่งหญ้าที่ยังเขียวขจี รอเจ้าของฟาร์มมาตัดเพื่อเก็บเป็นอาหารปศุสัตว์ในหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง .... บ้านเรือนชาวชาวฟร์าม (วัว และแกะ) จะอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ปลูกบ้านทรงสวิสที่เรียกว่าชาเล่ท์ สังเกตุดูทั่วไปจะมี 3 ชั้นครับ หลังคาเป็นจั่วแหลมเพื่อให้หิมะไหลลงได้สะดวกครับ



หน้าสถานีรถไฟ Engelberg

เมืองเอนเกลเบิร์ก เป็นอีกหนึ่งเมืองรีสอร์ทชั้นนำของสวิตเซอร์แลนด์ที่น่าหาโอกาสมาเยือนสักครั้ง โดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้ๆกับ "ภูเขาทิตลีส" (Mount Titlis) ภูเขาที่มียอดสูงจากระดับน้ำทะเลหนึ่งกว่า 10,000 ฟุต หรือ 3,020 เมตร ปัจจุบันเมืองเอนเกลเบิร์กได้กลายเป็นอีกหนึ่งอัลไพน์รีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของสวิตเซอร์แลนด์ .... เอนเกลเบิร์กมีพื้นที่ประมาณ 41 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 4100 คน ตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 1013 เมตร แต่มีรีสอร์ทและโรงแรมหรูๆมากมาย




 นอกจากนี้แล้วเมืองเอนเกลเบิร์กยังเป็นเสมือนแม่เหล็กที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนได้ทั้งในช่วงฤดูร้อนทั้งสองและฤดู​​หนาว โดยเมืองใหญ่ๆที่อยู่ใกล้เมืองเอนเกลเบิร์กคือเมืองลูเซิร์นและเมืองซูริค สำหรับบรรยากาศภายในเมืองนั้นค่อนข้างเงียบสงบ โดยในช่วงฤดู​​ร้อนจะมีกิจกรรมท่องเที่ยวสำคัญๆได้แก่ การเดินทางไกล, ขี่ม้า และขี่จักรยานภูเขา ส่วนในช่วงฤดูหนาวจะเป็นการเล่นสกี การลากเลื่อนหิมะ และอื่นๆ 


ข้ามคลองไปสถานีกระเช้า (Cable car)

เมื่อถึงสถานีรถไฟเอนเกลเบิร์ก (ชื่อเมืองมาจากคำว่า Angel ซึ่งหมายถึงนางฟ้า) จะมีป้ายบอกว่าไปสถานี Cable car โดยการเดิน 10 นาที...แต่หนาวมากๆ แถมฝนอีกต่างหาก ... รีบๆเดินผ่านคลองไปตามป้าย แล้วก็ถึงลานจอดรถที่ค่อนข้างใหญ่ ถ่ายภาพด้านนอกได้ 2-3 ภาพก็รีบเข้าไปในสถานี


สถานีกระเช้าขึ้นยอดเขาทิตลิส

การขึ้นสู่ยอดทิตลิส ต้องซื้อตั๋วกระเช้าไฟฟ้า หรือ Cable car นะครับ ราคาไป-กลับ คนละ 96 สวิสแฟรงค์ (เขาออกเสียงแฟรงค์) แต่เรามี Swiss Travel Pass เลยได้ลดครึ่งหนึ่งครับ .... ส่วนเวลาที่เขาเปิดบริการคือ 8.30 น เที่ยวสุดท้าย 15.40 น. ส่วนขาลงจากยอดเขาเที่ยวสุดท้าย 16.50 น. 



แผนที่เส้นทางขึ้นเขา


มีเอกสารแจกรวมทั้งภาษาไทยด้วย


ซื้อบัตรเรียบร้อยก็เอาบัตรไปสแกนที่เหล็กกั้นทางเข้า แล้วเข้าไปเลือกกระเช้าที่ว่างๆ ตัวกระเช้าจะมีหมายเลขและธงชาติในหลายๆประเทศด้วย รวมทั้งของไทย .... เอกสารที่แนะนำนักท่องเที่ยวแจกฟรี มีหลายภาษาเช่นกัน หยิบเอาได้ที่สถานีกระเช้าด้านล่าง ... ประมาณปลายๆเดิือน พ.ย หรือต้น ธ.ค. เขาจะมีช่วงหยุดเพื่อซ่อมบำรุงประมาณ 2 อาทิตย์นะครับ (ตรวจเช็ค Schedule Maintenance ก่อนไปครับ) สอบถามได้ที่ Information Center ทั่วไปได้ครับ


ผ่านช่องสแกนตั๋วก่อนขึ้นกระเช้า


ขึ้นกระเช้าไปที่ระดับความสูง 1800 เมตร แล้วเปลี่ยนเป็นกระเช้าหมุนรอบทิศทาง (Titlis Rotair) ถ้าสภาพอากาศเปิดเราจะเห็นวิวสวยงาม แต่วันนี้ทั้งเขาขมุกขมัวไปด้วยฝนและหิมะ หนาวก็หนาว ไม่เห็นอะไรเลย 



มองกลับลงมาที่เมืองเอนเกลเบอร์ก


เราถึงสถานีบนสุดในชั้นที่ 1 ก็ออกไปเดินชมของฝาก เพื่อวอร์มอัพร่างกานก่อนไปเดินที่ลานหิมะ .... ขาดไม่ได้คือถ้ำน้ำแข็งหรือ Gracier Cave เดินในนั้นไม่หนาวมากนะเพราะไม่มีลม .... เดินจนจบเส้นทาง แล้วออกไปหาอาหารทานกัน ราคาก็ต่างจากด้านล่างไม่มาก แต่ก็ยังถือว่าแพงอยู่ดีสำหรับคนไทยเรา


เข้าชมนิทัศการที่ถ้ำน้ำแข็งก่อน


Gracier Cave

ขึ้นลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้น 5 สู่ทางออกไปเดินในลานหิมะ ออกมาจะเจอป้าย Mount Titlis Switzerland 3020 M, 10000 feet ... เขากั้นเชือกไว้ตามทางลงเขาหรือหน้าผาไว้ เว้นช่องให้พวกนักสกีได้เล่น downhill ลงไปด้วย เลยลานไปจะเห็นสะพานทางเขาของกระเช้านักสกีแบบเปิดขาโล่งๆ ติดป้าย Ice Flyer 3040 เมตร ด้านข้างจะเป็นสะพานเดินบนหน้าผ้า และหอชมวิว (แต่หอปิด)


ออกไปสู่ลานหิมะบนความสูง 3020 เมตร














กระเช้าพวกนักสกี



เดินบนสะพานแขวนท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ -7 องศา







ถ่ายกับชุดชาวสวิส

ประมาณบ่ายโมงครึ่งเราลงจากเขาทิตลิสเพื่อเดินทางกลับลูเซิร์น ... ถึงลูเซิร์นยังไม่มืด เอาแผนที่ออกมาดูว่าพอจะไปไหนได้อีกบ้าง ... ที่อยากไปที่สุดตอนนี้คือเขาริกิ ... ไม่ยากไปกันเลย

💘💘💘💘





รถไฟขาว-ฟ้า ขึ้นสู่ยอดเขา Rigi

เพราะไไปกัน 3 คน พ่อ-แม่-ลูก จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจเดินทางมากนัก ชนะ 2 ใน 3 เป็นอันว่าไป เรานั่งรถไฟสายที่ออกเร็วที่สุดในเวลานั้นไปสู่สถานี Arth-Goldau ซึงต้องใช้เวลาประมาณ 28 นาทีจากลูเซิร์น แล้วต้องไปต่อรถไฟไต่เขา หรือ Cogwheel ขึ้นสู่ยอด Rigi Kulm อีก 44 นาที

รถไฟที่ขึ้นสู่ยอด Rugi Kulm มีอยู่ 2 ทางนะครับ คือ 
1. ขึ้นไปจากสถานี Arth Goldau ไป ใช้เวลา 44 นาที  และ
2. ขึ้นจาก Vitznau ไป ใช้เวลา 32 นาที (สถานีนี้ต้องมาทางเรือจากลูเซิร์น ซึ่งเรือจะใช้เวลา 51 นาที)

เราเลือกทางที่ 1 เพราะต้องทำเวลา และจะกลับทางที่ 2 


เบาะนั่งแบบคลาสสิค


เมือง Ath-Goldau ด้านล่าง

ผ่านเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขึ้นไป








สถานีสูงสุด Rigi-Kulm ระดับ 1797 เมตร


ขึ้นสู่ยอดริกิได้ตามเวลาคือถึงประมาณ 15.50 น. แต่ไปเจออากาศปิดเข้า พายุหิมากำลังมาเลยทีเดียว เลยตัดสินใจ ลงอีกด้านไปที่ Vitznau เพื่อไปต่อเรือกลับลูเซิร์น...รถไฟขาลงไปที่ Vitznau จะเป็นสีขาวแดง


ขากลับลงมาอีกด้าน


สถานีวิทซ์เนา (Vitznau) หน้าท่าเรือ

ลงมาถึงสถานีวิทซ์เนาก็มืดแล้วประมาณ 4 โมง 40 นาที ... รีบเดินตามฝรั่งไปรอเรือที่ท่า ... ถ้าเรามีบัตร Swiss Travel Pass ไม่ต้องจ่ายค่าเรือครับ ฟรี แต่เวลาขึ้นต้องดูชั้นด้วย ชั้นบที่เห็นวิวดีๆจะเป็น 1 class นะครับ ส่วนเราจองชั้น 2 ไปก็ต้องนั่งด้านล่าง ซึ่งคนก็เยอะพอควร ... แต่มืดๆแบบนี้จะไปมองเห็นอะไร นอกจากแสงสีตามชายฝั่ง


รอเรือที่ท่าเรือวิทซ์เนา


เรือล่องทะเลสาบ


บนเรือล่องทะเลสาบ จะจอดตามท่าเรือต่างๆเช่นเดียวกับรถ บนเรือก็เหมือนเรือท่องเที่ยวในแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรา มีพวกเครื่องดื่มขาย บางกรุ๊บเขไปกันหลายคน เขาสำรองที่นั่งและจองอาหารไปด้วยก็มี เรือแล่นสู่ลูเซิร์นใช้เวลาประมาณ 50 กว่านาทีก็เข้าเทียบท่าที่หน้าสถานีรถไฟที่ด้านหน้าและสะพานข้ามแม่น้ำรอยส์ที่ประดับประดาด้วยหลอดไฟแสงสี เพราะใกล้วันเทศกาลคริตส์มาสและปีใหม่...ลงเรือได้ก็ไปนั่งรถเมล์กลับที่พัก เอาแรงไว้ไปลุยต่อที่ Zermatt ในวันรุ่งขึ้น.


การเดินทางท่องเที่ยวในหลายๆที่ได้ทั้งประสบการณ์ ความรู้ ความคิด และความแตกต่าง ที่ต่างกันออกไป เช่นไปในประเทศที่เจริญหรือพัฒนาแล้ว เราก็จะได้เห็นวิถีชีวิตที่ผู้คนเคารพกฏกติกา ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มองคนอื่นแบบเข้าใจและให้ความสำคัญ ... แต่ในขณะเดียวกัน ไปบางประเทศก็เจอผู้คนที่ดิ้นรน เห็นแก่ได้ ไม่สนว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร แม้มีกฏก็ข้ามกฏนั้นไป เมื่อมีโอกาสก็มักไขว่คว้าหาประโยชน์ส่วนตนตลอด ..... โลกแม้จะใบเดียวกัน แต่ความสำคัญของชีวิตต่างกันราวฟ้ากะดิน  อยากเห็นโลกทั้งใบเป็นดินแดนที่สงบสุข ผู้คนไม่แบ่งแยก รักและเคารพกฏกติกาที่ธรรมชาติได้สร้างไว้ เข้าใจซึ่งกันและกันตลอดไป.


💘💘ขอบคุณที่ติดตามครับ💘💘


Water Tower @ Chapel Bridge


___________





วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2561

เที่ยวสวิส 4/1 ..... Luzern






บล๊อกที่แล้วเราพาท่านเดินทางไปชมเมือง St. Gallen ทางภาคตะวันออกของสวิตเซอรฺแลนด์มานะครับ หลักๆก็คือพาไปชมมหาวิหารซังต์กาลเลินกัน จากนั้นก็เดินทางโดยรถไฟสายชมวิว Voralpen Express มาที่เมืองลูเซิร์น และเข้าสู่เมืองลูเซิร์นในช่วงบ่ายๆ


เส้นทางจากซังต์กาลเลิน-ลูเซิร์น

วันนี้วันที่ 24 พ.ย. 2017 เราจะพาท่านชมเมืองลูเซิร์น เมืองที่ว่ากันว่าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของประเทศสวิสเซอร์แลนด์เลยก็ว่าได้ และเราแน่ใจว่าคนไทยส่วนมากถ้าไปสวิส ก็จะแวะเมืองนี้เสมอ...เป้าหมายหลักที่เราจะมาปักหลักที่นี่ 2 คืน คือ การขึ้นชมยอดเขาทิสลิส (Titlis) และเขา Rigi เที่ยวเมืองเก่า และล่องเรือทะเลสาบกัน


เส้นทางรถไฟเลียบทะเลสาบก่อนเข้าลูเซิร์น


เรานั่งรถไฟขบวนชมวิว Voralpen Express จากเมือง St. Gallen มาที่ลูเซิร์นเพื่อชมวิวทิวทัศน์ระหว่างทาง โดยมีทั้งข้ามหุบเขา เขาสูงบนเทือกเขาแอลป์ และทะเลสาบ ซึ่งว่ากันว่ารถไฟสายนี้เป็นสาย Pre-Gracie Express และสวยไม่แพ้กัน .... เราถึงสถานีรถไฟลูเซิร์นประมาณบ่าย 3 โมงเสร็จ แต่ดูเหมือนว่าจะเริ่มมืดแล้ว  


ลูเซิร์น

ลูเซิร์น (อังกฤษ: Lucerne) หรือตามสำเนียงท้องถิ่นคือ โลแซร์น (เยอรมัน: Luzern) เป็นเมืองหลวงของรัฐลูเซิร์นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความที่ลูเซิร์นเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในภาคกลางของประเทศ ทำให้ลูเซิร์นกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ, การคมนาคม, ทางวัฒนธรรม ของภาคกลาง ภาษาทางการที่ใช้ในลูเซิร์นคือภาษาเยอรมัน แลนมาร์กที่สำคัญของเมืองลูเซิร์นคือคาเปลบรึคเคอ ตั้งอยู่ชายฝั่งด้านตะวันตกติดกับทะเลสาบลูเซิร์น มีแม่น้ำร็อยส์ไหลออกมาจากทะเลสาบผ่านกลางเมือง จากเมืองนี้สามารถมองเห็นเทือกเขาแอลป์, เทือกเขาปิลาตุส และเทือกเขารีกี 

หน้าสถานรถไฟลูเซิร์น


ลูเซิร์น มีภูมิอากาศเย็นตลอดทั้งปี จุดหมายตาที่สำคัญในเมืองคือคาเปลบรึคเคอ โบสถ์กลางน้ำรูปทรงสะพาน สนามบินที่อยู่ใกล้ลูเซิร์นที่สุดคือท่าอากาศยานซูริค ซึ่งมีรถไฟโดยตรงมาสู่ลูเซิร์นทุกๆชั่วโมงโดยใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง



ทะเลสาบลูเซิร์น

ภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ชนอลามันน์เชื้อสายเยอรมันก็มีอิทธิพลเหนือดินแดนที่เป็นประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปัจจุบัน จนกระทั่งราวปี 750 ก็มีการจัดตั้งสังฆมณฑลซังค์เลโอเดอการ์ (St. Leodegar) นิกายโรมันคาทอลิกขึ้น ต่อมาในศตวรรษที่ 9 สังฆมณฑลซังค์เลโอเดอการ์ได้ตกอยู่ในการปกครองของโบสถ์มูร์บัค (Murbach Abbey) ในแคว้นอาลซัส ในช่วงเวลานี้เอง พื้นที่แถบนี้ได้ถูกเรียกว่า ลูซิอาเรีย (ละติน: Luciaria) ต่อมาในปี 1178 สังฆมณฑลแห่งนี้ได้เป็นอิสระจากโบสถ์มูร์บัค และได้สถาปนาสังฆมณฑลเป็นเมืองลูเซิร์นในปีเดียวกัน เมืองลูเซิร์นกลายเป็นทางผ่านที่สำคัญบนเส้นทางการค้าที่กำลังเฟื่องฟูในภูมิภาคก็อทท์ฮาร์ด (Gotthard)


ริมทะเลสาบลูเซิร์น...ซ้ายคือเขตเมืองเก่า


หลังจากลากกระเป๋าอ้อมสถานรถไฟไปที่ Ibis Hotel แล้ว ทางโรงแรมจะให้บัตรสำหรับโดยสารสาธารณะในเมืองลูเซิร์นแก่เรา ซึ่งเจ้าบัตรที่ว่านี้จะใช้โดยสารขนส่งสาธารณะในเมืองนี้ได้ทุกอย่าง เช่นรถเมล์ เรือ รถราง ครับ (แต่สำหรับใครที่มีตั๋ว Swiss Travel Pass ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน) ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งของสวิสเขา .... ใช้เวลาไม่มากนัก ก็ออกมาขึ้นรถเมล์สาย 4 ที่หน้าโรงแรมเพื่อกลับไปที่หน้าสถานีรถไฟอีกครั้ง จากนั้นเราก็ข้ามสะพานเพื่อไปเดินชมเมืองเก่า และสถานที่สำคัญๆ 


ทะเลสาบลูเซิร์น ขวา..ท่าเรือ

ทะเลสาบลูเซิร์น เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ มีพื้นที่ 113.6 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ผิวน้ำ 430 เมตร และมีความยาว 30 กม. จึงเหมาะที่จะมีกิจกรรม เช่น ล่องเรือไปชมสถานที่สวยๆต่างๆ อย่างเช่นยอดเขาริกี


บนสะพานข้ามทะเลสาบ

เมื่อข้ามสะพานไปด้านเมืองเก่า เดินเลียบทะเลสาบไปจะเห็นโบสถ์หอคอยคู่โดดเด่น ชื่อโบสถ์ฮอฟเคียร์เคอร์ (Hofkirche) .... เมื่อเราเดินเลยโบสถ์นี้ไปไม่ไกล ก็จะเห็นอนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้ (The Lion Monument) 

ริมทะเลสาบด้านเมืองเก่า



ท่าเรือที่หน้าสถานีรถไฟลูเซิร์น



โบสถ์ฮอฟเคียร์เคอร์ (Hofkirche)



อนุสาวรีย์เลอเวนเดงก์มัล (Lowendenkmal)



อนุสาวรีย์เลอเวนเดงก์มัล (Lowendenkmal) 

เรื่องเล่ามีอยู่ว่า...มีกลุ่มทหารรับจ้างของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งไม่อยากเชื่อว่าประเทศที่คงความเป็นกลางในสงครามระหว่างประเทศมาอย่างยาวนานอย่างสวิตเซอร์แลนด์ จะกลับมีชื่อเสียงระบือลือลั่นในการมีทหารรับจ้างที่ดีที่สุดในโลก กับการรับใช้ให้กับกองทัพฝรั่งเศสมาตั้งแต่ยุคปลายสมัยกลางจนถึงยุคหลุยส์ โดยเฉพาะภารกิจที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกรมทหารรักษาพระองค์ของราชวงศ์ฝรั่งเศส

เหตุการณ์สำคัญที่สร้างชื่อเสียงให้ทหารรับจ้างสวิสส์มาจนถึงทุกวันนี้คือ การปราบจลาจลร่วมกับกองทัพฝรั่งเศสในปี 1792 ในตอนต้นของการปฏิวัติฝรั่งเศส ความยึดมั่นในหน้าที่ทำให้ทหารสวิสส์รักษาพระองค์ ที่ห้อมล้อมพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกสังหารทั้งหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียว เมื่อฝูงชนบุกรุกเข้าโจมตีพระราชวังตุยเลอรี ทั้งๆ ที่มีคำสั่งให้ถอนกำลังกลับสู่ที่มั่นแล้ว  และเพื่อให้เป็นอนุสรณ์ จึงมีการสร้างอนุสาวรีย์ทหารสวิสส์ที่ยอมตายเพื่อปกป้องกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 ไว้ที่กรุงลูเซิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นรูปสิงโตนอนตายกอดโล่และตราประจำราชวงศ์ของฝรั่งเศสเอาไว้ และมีหอกหักปักคาอยู่ที่หลัง โดยแกะสลักลึกเข้าไปในหินผาทั้งแผ่น เตือนให้ระลึกถึงวีรกรรมของทหารรับจ้างที่เคยมีส่วนร่วมในสงครามปฏิวัติฝรั่งเศสครั้งนั้น ที่ยอมตายเพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีจนวาระสุดท้าย



หน้าผาที่แกะสลัก


อนุสาวรีย์สิงโต (The Lion Monument) หรือ สิงโตลูเซิร์น (The Lion of Lucerne) หรือบางทีก็เรียกกันว่า สิงโตตาย (The Dying Lion of Lucerne) นอกจากจะเป็นความภาคภูมิใจ ที่แสดงถึงความซื่อสัตย์และความกล้าหาญของทหารสวิสส์แล้ว มันยังเป็นความงดงามในด้านประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย

สิงโตลูเซิร์น เป็นอนุสาวรีย์ที่แฝงเอาไว้ด้วยความโศกเศร้า ก็เพราะเหล่าทหารรับจ้างสวิสส์ที่เสียชีวิตในสงครามปฏิวัติฝรั่งเศสครั้งนั้นมากกว่า 700 คน ส่วนมากล้วนเป็นลูกหลานชาวเมืองลูเซิร์น ทั้งนั้น ผู้สร้างจงใจใช้สิงโตเพื่อสื่อความหมายแทนชาวเมืองที่เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็เพราะว่าสิงโตเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองของชาวลูเซิร์นนั่นเอง

ปัจจุบันนี้ ทหารรับจ้างสวิสส์ยังคงได้รับความไว้วางใจให้เป็นทหารรักษาพระองค์หน่วยเล็กๆ ให้แก่สมเด็จพระสันตะปาปา แห่งนครรัฐวาติกัน ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่ปี 1859 โดยให้ใช้อาวุธประจำกายที่แตกต่างจากทหารประจำการของฝรั่งเศส และสวมเครื่องแบบสีแดง เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน  



ในร้านยังมีสัญลักษณ์สิงโต



ช่วงเทศกาลคริตส์มัส



ในเขตเมืองเก่า






Chapel Bridge (Kapellbrucke) and Water Tower  ชาเปิลบริดจ์ และวอเตอร์ทาวเวอร์


สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) สะพานไม้ที่เก่าแก่สุดในโลกมีอายุหลายร้อยปี พาดข้ามแม่น้ำรอยส์ มีป้อมปราการแปดเหลี่ยมตั้งอยู่กลางสะพาน เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ของลูเซิร์น (Luzern) โดยใต้หลังคาคลุมสะพานมีภาพเขียนเรื่องราวประวัติความเป็นมาของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ตลอดแนวสะพาน เป็นภาพเขียนเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี


ภาพบนจั่วสะพานไม้






วิวบนสะพาน Seebrucke


วันนี้เดินเที่ยวย่านเมืองเก่านครลูเซิร์น จากหน้าสถานรถไฟ ไปที่โบสถ์ฮอฟเคียร์เคอร์ เรื่อยไปที่หน้าผาอนุสาวรีย์เลอเวนเดงก์มัล (Lowendenkmal) กลับออกมาหาซื้อของฝากพวกมีดพับ Vitorinox ซึ่งหลายๆร้านเขาจะแถมเขียนชื่อให้เราด้วย เดินเรื่อยๆและแวะดูสินค้าในร้านต่างๆ จนออกมาที่ร้านนาฬิกาใหญ่ๆที่ตั้งเรียงรายบนถนนหลังจากที่เราข้ามแม่น้ำรอยส์ .... จนถึงสะพานไม้ข้ามแม่น้ำอีกแห่งชื่อ Spreuer Bridge ซึ่งเป็นสะพานไม้เหมือนๆกับ สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) และใต้หลังคาก็มีภาพเขียนเช่นกัน ... จากนั้นก็ย้อนมาทางสถานีรถไฟก่อนที่จะขึ้นไปชมสะพานไม้ชาเปล 

อากาศช่วงเย็นๆหนาวมาก เรากลับมาที่หน้าสถานีถไฟก่อนที่รถเมล์กลับโรงแรมจะหมดในเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ... บล๊อกต่อไปจะพาไปขึ้นเขา ทิตลิตส์ และเขาริกีครับ



💘💘ขอบคุณที่ตามอ่านมาตลอด💘💘



ลาด้วยภาพ Chapel Bridge (Kapellbrucke) ที่มีฉากหลังเป็นเขา Pilatus (เห็นแสงไฟบนขวา)