วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ลุยฝนเที่ยวที่...เฮลซิงกิ



 

อัพบล๊อกวันนี้ก็มาถึงกรุงเฮลซิงกิ (Helsinki) ประเทศฟินแลนด์แดนซานต้าแล้วนะครับ ... พอเอ่ยถึงประเทศฟินแลนด์ ทุกท่านคงนึกถึงโทรศัพท์ยี่ห้อดังโนเกีย ดินแดนที่หนาวเย็นและหมู่บ้านซานตาคลอส และระบบการศึกษาที่ดีเยี่ยมแห่งหนึ่งของโลกเลยนะครับ .... แต่วันนี้เราไม่ได้พาไปรู้จักในรายละเอียดลึกซึ้งขนาดนั้นนะครับ เพียงแต่พาท่านมาชมเมืองเฮลซิงกิแค่พอสังเขปเท่านั้น เพราะเรามีเวลาอยู่ที่นี่เพียงหนึ่งวันกับหนึ่งคืนเท่านนั้นเอง.

ความเดิมในบล๊อกก่อนเราพาท่านเดินทางจากเมืองกู๊ดวานเกนไปพักที่ Vestlia สกีรีสอร์ทเมืองไจโล (Geilo) ซึ่งเป็นเมืองเล้กๆแต่ขึ้นชื่อเรื่องที่พักสำหรับเล่นสกี จากนั้นก็เดินทางเข้ากรุงออสโลเมืองหลวงของประเทศนอรเวย์ เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง และเดินเที่ยวที่ย่านถนนช้อปปิ้ง Karl Johans Gate ก่อนไปขึ้นเครื่อง Finair มาที่เฮลซิงกิ และเข้าพักที่ Redisson blue, Helsinki  
(อ่านเพิ่มเติม)




กรุงเฮลซิงกิ (Helsinki) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศฟินแลนด์ ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศ ริมชายฝั่งอ่าวฟินแลนด์ ตัวเมืองมีประชากรประมาณ 600,000 คน เฮลซิงกิอยู่ติดกับเมืองวันตาและเอสโปซึ่งรวมตั้งเป็นเขตเมืองหลวงหรือมหานครเฮลซิงกิ มีประชากรเกือบหนึ่งล้านคน และถ้านับเขตที่อยู่อาศัยในปริมณฑลด้วยจะมีประชากรมากกว่า 1.2 ล้านคน ... เฮลซิงฟอร์สเป็นชื่อเมืองดั้งเดิม และยังคงเป็นชื่อเมืองในภาษาสวีเดนในปัจจุบัน ในอดีตเป็นชื่อที่ใช้ในระดับนานาชาติด้วย
 


Helsinki, Finland

ชาวฟินแลนด์ มีภาษาใช้เป็นของตัวเอง ส่วนในราชการจะใช้ได้ทั้งภาษาฟินแลนดืและภาษาสวีเดน แต่สกุลเงินปัจจุบันใช้สกุลเงินยูโร ... ประเทศฟินแลนด์มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐฟินแลนด์ เป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป เขตแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้จรดทะเลบอลติก ทางด้านใต้จรดอ่าวฟินแลนด์ ทางตะวันตกจรดอ่าวบอทเนีย ประเทศฟินแลนด์มีชายแดนติดกับประเทศสวีเดน นอร์เวย์ และรัสเซีย สำหรับหมู่เกาะโอลันด์ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้นั้น อยู่ภายใต้การปกครองของฟินแลนด์ แต่เป็นเขตปกครองตนเอง เคยถูกรัสเซียยึดครองและเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุด คือ เฮลซิงกิ เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ เอสโป วันตา ตัมเปเร โอวลุ และตุรกุ .... ฟินแลนด์มีประชากร 5.52 ล้านคน (ข้อมูล ณ กลางปี พ.ศ. 2562) ประชากรส่วนมากอาศัยอยู่ในตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ และพูดภาษาฟินแลนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มภาษาฟินนิกจากตระกูลภาษายูรัล และไม่มีความสัมพันธ์กับภาษาสแกนดิเนเวียแต่อย่างใด 
 


Sibelius Park, Helsinki


เช้านี้วันที่ 28 พฤศจิกายน 2019 ที่เมืองเฮลซิงกิที่อากาศ 3 องศา แต่เย็นเหมือนติดลบเลย เพราะมีทั้งลมและฝน วันนี้จึงเที่ยวฟินแลนด์แบบฝนๆลมๆทั้งวัน...ส่วนที่เที่ยวก็มีเช่น เดินชมตลาดเช้า (ที่ไม่เจอพ่อค้าเลย เพราะหนาว) น้ำพุธิดาแห่งบอลติก สัญลักษณ์ประจำเมือง อนุสาวรีย์ซิเบลิอุส (Sibelius Monument) ที่สร้างเป็นเกียรติให้ท่าน ยาห์น ซิเบลิอุส ผู้ประพันธ์เพลงฟินแลนด์เดีย ชมวิหารอุสเพนสกี้ (วิหารแบบออธอดอกที่ว่างดงามมากแห่งหนึ่งของยุโรป ชมโบสถ์เทมโป ลิโอคิโอ หรือ Temple liokio rock church ที่เจาะเข้าไปในเขาหินแกรนิต ท้ายของวันก็ปล่อยให้นักช้อบเดินกันแถวๆย่านกลางเมือง เพื่อให้คนสะตังค์เหลือใช้ซื้อของแบรนด์เนมกัน..ส่วนเราก็อาศัยไออุ่นห้าง stockman เดินแก้หนาว...

วันนี้ทานอาหารกลางวันดีมีสไตล์ แต่ไวน์แดงก็ล่อเราไป 11.5 €/แก้ว และตอนจ่ายก็มือชานิดๆ...ตกบ่ายๆขึ้นเรือสำราญ Silja Line (ซิลยา ไลน์) เพื่อไป Stockholm ดินเนอร์บนเรือแบบบุพเฟ่ แต่เบียร์กับไวน์ไม่อั้น เขาให้เวลา 2 ชั่วโมง เราใช้จนเหลือ 2 นาที จนเจ้อ้วนสาวฟินด์มองหน้าจึงพากันขึ้นนอน บางกลุ่มเขาไปต่อกันที่ดิสโก้เธคก็มี. ..... ตามไปชมกันเลยครับ

 


ที่อนุสาวรีย์ซิเบลิอุส (Sibelius Monument)

Sibelius Monument (อนุสาวรีย์ ซิเบลิอุส) ตั้งอยู่ใน Sibelius Park ฟินแลนด์ สร้างขึ้นเพื่อสดุดีให้แก่นักประพันธ์เพลงชื่อดังชาวฟินแลนด์นามว่า Jean Sibelius ซึ่งแต่งเพลงปลุกใจอย่างฟินแลนเดีย เพื่อปลุกให้ชาวฟินแลนด์ลุกขึ้นมาเรียกร้องเอกราชจากรัสเซีย เมื่อครั้งประวัติศาสตร์ที่ประเทศฟินแลนด์เคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของรัฐเซีย อนุสาวรีย์แห่งนี้มีรูปทรงที่สวยแปลกตา ออกแบบโดย Eila Hiltunen โดยใช้แท่งเหล็กจำนวน 600 แท่ง มาเชื่อมเข้าด้วยกันให้มีรูปร่างเหมือนออแกนลมที่มีความสูง 8.5 เมตร กว้าง 10.5 เมตร ลึก 6.5 เมตร (28 ft. x 34 ft. x 241 ft.) น้ำหนัก 24 ตัน เป็นจุดเด่นกลางแจ้งที่ดึงดูดสายตานักท่องเที่ยวให้เข้าไปถ่ายภาพกันมากมาย  




Sibelius Monument



รูปปั้นซิเบลิอุส 

เดินถ่ายภาพที่อนุสาวรีย์ซิเบลิอุสเช้านี้ท่ามกลางสายฝนที่ลงมาประปรายในขณะที่อุณหภูมิลดลงเกือบ 0 องศา อยู่กันได้ไม่นานต้องรีบวิ่งขึ้นรถ แสนเสียดายวิวสวยๆริมท่าเรือข้างสวน ... แต่เราต้องไปต่อที่น้ำพุเทพธิดาแห่งบอลติค (Havis Amanda) และตลาดเช้าซึ่งก็อยู่ใกล้ๆท่าเรือสำราญที่เราจะอาศัยนอนข้ามทะเลบอลติคในคืนนี้ครับ



ท่าเรือที่เฮลซิงกิใกล้ๆสวนซิเบลิอุส

.......

Havis Amanda หรือรูปปั้นธิดาแห่งบอลติค ที่อยู่ในสภาพเปลือย ตั้งบนแท่นน้ำพุ มีนาคหลายตัวรอบๆฐาน .... ซึ่งรูปปั้นนั้นเป็นเหมือนอีกหนึ่งสัญลักษณ์ใจกลางกรุงเฮลซิงกิ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดให้ใครก็ตามที่มาเที่ยวเฮลซิงกิ จะต้องเเวะเวียนมายังสถานที่่เเห่งนี้ ... เพราะมันทั้งความหมาย เรื่องเล่า เเละตำนานปะปนกันไปอย่างน่าสนใจครับ



น้ำพุธิดาแห่งทะเลบอลติก สร้างมาตั้งเเต่ปี ค.ศ.1908 นับว่ามีอายุมากกว่าร้อยปีมาเเล้ว ซึ่งมันเป็นประติมากรรมที่มีความสมส่วนเเละสวยงามอย่างมาก โดยได้รับการออกเเบบโดย วิลเลย์ วาเกน ที่ได้ปั้นประติมากรรมรูปหญิงงามเปลือยที่สมส่วนเเละสวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำพุที่สวยงามอย่างมาก โดยทำให้มันกลายเป็นที่มาของฉายาว่า ธิดาแห่งทะเลบอลติก โดยตัวของรูปปั้นหญิงสาวนั้นเเทนเมืองเฮลซิงกิที่มีความงดงามดุจหญิงสาววัยเเรกเเย้ม ส่วนทางด้านน้ำพุนั้นก็เเทนทะเลบอลติก ซึ่งเมืองเฮลซิงกิตั้งอยู่ นับว่าเป็นน้ำพุที่มีชื่อเสียงเเละมีความหมายอย่างมากเลยทีเดียว ... เสียดายวันที่เราไปอากาศหนาวจัดจึงไม่มีการเปิดน้ำพุให้ชม
 
 


รูปปั้นธิดาแห่งบอลติค (ใกล้ๆตลาดเช้า)

​​​​​​Havis Amanda นั้นยังมีเรื่องเล่าเเละตำนานความเชื่อที่น่าสนใจอีกด้วย โดยว่ากันว่าหากใครสามารถโยนหมวกให้ขึ้นไปสวมบนประติมากรรมของสาวงามได้เเล้วล่ะก็ เขาคนนั้นจะมีความก้าวหน้าในเรื่องหน้าที่การงานเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้มีบรรดานักศึกษาจบใหม่มาทดลองทำกันอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งในปัจจุบันการโยนหมวกขึ้นไปนั้นอาจจะเสี่ยงต่อการโดนเจ้าหน้าที่เรียกไปตักเตือน เเต่ก็ยังเห็นเด็กๆ เเอบทำกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหากคุณไปเที่ยวก็อาจจะได้เห็นเช่นกัน ซึ่งหากเห็นก็ช่วยลุ้นไปกับเขาด้วยเเล้วกันว่าให้สามารถโยนหมวกไปใส่ให้ประติมากรรมหญิงงานได้

 

ขอบคุณภาพจาก Wikipedia (CR. Wikipedia)



ใกล้ๆท่าเรือสำราญเฮลซิงกิ




ใกล้ๆท่าเรือสำราญเฮลซิงกิ


ใกล้ๆท่าเรือสำราญเฮลซิงกิ

 

จากรูปปั้นธิดาแห่งบอลติค เราเดินเลียบริมทะเลไป จะเป็นตลาดเช้า (แต่ไม่มีใครมาขายของ เพราะหนาวมาก)  เดินไปเรือ่ยๆก็จะถึงมหาวิหารวิารอุสเพนสกี้ (Uspenski Cathedral) ที่เป็นศานสถานของชาวคริสต์นิกานออธอดอกซ์ที่ว่ากันว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปเหนือ .... อากาศที่หนาวเย็นทำให้เราอยากเข้าห้องน้ำมากๆ เหลือบไปเห็นใกล้ๆทางขึ้นเหมือนเป็นท่ารถอะไรซักอย่าง เดินไปที่ห้องล๊อกเกอร์เจอห้องน้ำพอดี รอดตายหวุดหวิด...



Uspenski Cathedral, Helsinki

มหาวิหารอุสเพนสกี้ สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ งดงามแปลกตาด้วยสถาปัตยกรรมแบบรัสเซีย มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจากการใช้เป็นสถานที่ถ่ายทําภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง เรดส์ วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1864 ออกแบบและก่อสร้างโดย Aleksey Gornostayev โดยใช้เวลาก่อสร้างถึง 6 ปีเศษ ด้านนอกวิหารมีสีสันแปลกตาซึ่งหาดูได้ยาก โดยตัววิหารเป็นสีน้ำตาลอิฐ โดมสีฟ้าอ่อน และยอดโดมเป็นสีทอง ภายในตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามด้วยสีทองและอัญมณี มหาวิหารอุสเปนสกี้นี้ถือเป็นเครื่องแสดงถึงความสัมพันธ์ของฟินแลนด์กับ รัสเซียโดยที่รัสเซียเคยปกครองฟินแลนด์อยู่ถึง 100 กว่าปี
 


ภาพจากด้านหน้า


ด้านในวิหาร (ที่กำลังบูรณะ)



วิวท่าเรือเฮลซิงกิ จากลานของมหาวิหารอุสเพนสกี้



วิวเฮลซิงกิ จากลานของมหาวิหารอุสเพนสกี้



มหาวิหารเฮลซิงกิที่จตุรัสวุฒิสภา กลางกรุงเฮลซิงกิ






มางเข้าโบสถ์หิน เทมเป ลิโอ คิโอ (Templeliaukio Church)

Temppeliaukio Church นั้นเป็นศาสนสถานที่มีความน่าสนใจอย่างมากอีกเเห่งของฟินเเลนด์ โดยโบสถ์นี้ตั้งอยู่ในกรุงเฮลซิงกิ มีความสวยงามเเละเเปลกตาอย่างมากช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่มาเยือนโบสถ์เเห่งนี้อย่างมากเลยทีเดียว จนกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกเเห่งที่ใครมาเที่ยวเฮลซิงกิเเล้วไม่ควรพลาดมาเที่ยวชมความสวยงามเเบบเเปลกๆ ของที่นี่กัน
 



ภายในโบสถ์


โบสถ์เทมเปลิโอคิโอ นั้นมีอีกชื่อว่า โบสถ์หิน หรือที่ชาวฟินเเลนด์มักจะนิยมเรียกว่า โบสถ์แห่งความรัก เพราะว่ามันเริ่มก่อสร้างในวันวาเลนไทน์ เเละใช้ใช้เวลาก่อสร้างเพียงเเค่หนึ่งปีเท่านั้นเเละเสร็จในวันที่ 14 กุมภาพันธ์อีกเช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นความจงใจของผู้สร้างอย่างชัดเจน ซึ่งที่ตั้งของโบสถ์เเห่งนี้เเต่เดิมนั้นเป็นเนินเขาหินเเกรนิตที่ตั้งอยู่ขวางเเละดูเกะกะอย่างมากจึงมีการดัดเเปลงพื้นที่เเห่งนี้เสียใหม่ให้เป็นศาสนสถานด้วยการระเบิดชั้นหินธรรมชาติออกไปเเล้วทำเป็นโพลงพร้อมกับสร้างโบสถ์ครอบเข้าไปอย่างสวยงามเเละเเปลกประหลาดด้วยการออกเเบบของสถาปนิกสองพี่น้องชาวฟินเเลนด์ที่ชื่อว่า Timo และ Tuomo Suomalainen ทำให้สถานที่เเห่งนี้กลายเป็นจุดเด่นของเมืองด้วยรูปเเบบภายนอกที่ทันสมัยอย่างมาก เเละภายในที่มีการตกเเต่งด้วยหินธรรมชาติงดงาม โดยทีช่องด้านบนนั้นจะทำเป็นระบายเพื่อรับเเสงจากภายนอก โดยหลังคาด้านบนนั้นมีการประดับด้วยลวดทองเเดงที่มีความหนากว่าหนึ่งนิ้ว โดยนำมาขดเป็นวงกลมที่ดูเเปลกตาอย่างมากเลยทีเดียว
 
 


ด้านในโบสถ์ เทเป ริโอ คิโอ

Temppeliaukio Church นั้นได้รับความนิยมในหมู่หนุ่มสาวชาวฟินเเลนด์ที่จะมาจัดพิธีเเต่งงานกันที่โบสถ์เเห่งนี้เพราะชื่อเสียงเเละความหมายของโบสถ์ที่ได้รับการยอมรับกันอย่างมาก เเถมมีความเชื่ออีกว่าหากมาจุดเทียนอธิฐานในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรักเเล้วมักจะสมหวังในความรักทุกรายไป จึงมีหนุ่มสาวนชาวฟินเเลนด์มาจุดเที่ยวกันอยู่เสมอๆ เลยทีเดียวรวมทั้งบรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่รู้เรื่องราวก็มักจะมาจุดเทียนกันอีกด้วย

.......






เมืองเฮลซิงกิ


สถานีรถไฟเฮลซิงกิ


ในกรุงเฮลซิงกิ


ทางเข้าด้านข้างห้างสต๊อกมันน์ แหล่งละลายทรัพย์กลางกรุงเฮลซิงกิ


ข้างห้างสต๊อกมันน์ ... กำลังประดับไฟใกล้เทศกาลคริสต์มาส

........


เรือ Silja Line ที่เราจะนอนข้ามทะเลบอลติคในคืนนี้ (28 พย. 2019)


ประมาณ 15.00 น. ของเวลาท้องถิ่นในฟินแลนด์ (เวลาจะเร็วกว่าสวีเดน 1 ชั่วโมง) เราก็เดินทางไปท่าเรือเพื่อลงเรือสำราญ Silja Line ออกเดินทางข้ามทะเลไปที่กรุงสต๊อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ในเวลา 17.00 น.  ... โดยบนเรือนั้นเขาเลี้ยงดินเนอร์และอาหารเช้าเราด้วย (รวมในราคา) ... ชอบเรือนี้ตรงมีไวน์ เบียร์ หรือวิสกี้เลี้ยงไม่จำกัดแก้ว แต่ในเวล 2 ชั่วโมงนะ...เพราะฉะนั้นกะเหรี่ยงแบบเราเข้าห้องอาหารได้ตามเวลานัดคือ 19.00 น. เราก็ลุยไวน์ของเขาก่อนเลย สรุปว่าจนสาวเก็บของเขาเริ่มมาป้วนเปี้ยน และนาฬิกาข้อมือบอกว่าเหลือ 2 นาทีจะครบกำหนดนั่นแหละถึงลุกจากโต๊ะ (ไม่ยอมให้เวลาหมดเลยทีเดียว เพื่อรักษาฟอร์มกะเหรี่ยงแบบเรา..) เบ็ดเสร็จหมดไป 11 แก้ว...เยี่ยมเลย ส่วนอาหารเช้าเขาเปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้า - 9 โมงเช้า เพราะเรือจะเทียบท่าตอน 9.45 น. (ราคาค่าโดยสารก็อยู่ที่ 135 USD. ตรวจสอบในเวบอีกครั้ง) เวลาในการเดินทาง 17 ชั่วโมง 45 นาที 

ถ้าใครชอบซีฟู๊ดแบบฝรั่งๆละก็เรือนี้มีให้เยอะเลยครับ ... ส่วนห้องพักสบายๆ หน้าต่างริมทะเล แบบ 4 เตียง (ชั้นบน 2 เตียง ล่าง 2 เตียง) แต่เราใช้เฉพาะเตียงล่าง 2 เตียงแบบในภาพครับ ... ความสะดวกสะบายบนเรือดีครับ

 


ห้องนอนของเรือที่ชั้น 


ชั้น 7 มีร้านค้า ห้องอาหาร และเธค



ร้านค้า


ถ่ายลงมาจากช่อดาดาฟ้าเรือ


ชั้ยบนสุดสำหรับชมวิว...แต่วันนี้หนาวมาก


ออกๆปถ่ายภาพข้างนอกได้ไม่เกิน 10 นาทีต้องรีบเข้ามาอาศัยไออุ่นด้านใน


เข้าสู่สต๊อกโฮล์มในยามเช้า

เราเดินทางในสแกนดิเนเวียมาจนถึงเมืองสุดท้ายคือ Stockholm ประเทศสวีเดน ซึ่งเราจะอยู่ที่นี่ 2 วันกับหนึ่งคืนในเมืองของสวีเดนครับ ... บล๊อกต่อไปเราจะพาไปชมความงามของเมืองสต๊อกโฮล์มกัน สำหรับบ๊ล๊อกนี้ขอบคุณที่ติดตามครับ



ลากันด้วยภาพมหาวิหารอุสเพนสกี้ครับ

 

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2563

พักสกีรีสอร์ทที่ไจโล และย่านคาร์ลโยฮันส์เกท ออสโล ... นอรเวย์

วันนี้ 27 พย. 2019 และเป็นวันที่ 3 แล้วที่เราเดินทางในนอรเวย์ครับ ..... จากวันแรกเรามาถึงออสโลโดยทางเรือ พอลงเรือก็ออกไปเที่ยวที่ฟร๊อกเนอร์ปาร์คเลย บ่ายๆก็เดินทางสู่เบอร์เกน เมืองใหญ่อันดับสองของนอรเวย์หรือบางคนเรียกว่าเมืองหลวงของนอรเวย์ฝั่งตะวันตก พอวันที่สองเราก็เดินทางไปวอสส์แล้วนั่งรถไฟไปสถานี Myrdal แล้วจึงต่อรถไฟสานโรแมนติก Flambana Train ลงไปเมืองฟล๊อม แล้วล่องเรือชมฟอร์ดไปขึ้นที่ Gudvangen แล้วนั่งรถมาที่ไจโล (Geilo).


แผนการเดินทางจาก Gudvangen - Geilo - Oslo.


วันนี้จะพาชมรอบๆ Vestlia Ski-Resort แล้วเดินทางเข้ากรุงออสโลอีกครั้งครับ...ตามไปชมได้เลย

ในวันนี้ 26 พย. 2019 เราขึ้นเรือชมฟยอร์ดที่เมือง Gudvangen ประมาณ 6 โมงเย็น ซึ่งที่นอรเวย์หน้านี้ก็มืดสนิทแล้วครับ จากกู๊ดวานเกนเรานั่งรถผ่านเมืองฟล๊อม (ที่เราไปลงเรือ) ไปที่ Vestlia Ski-resort ตามเส้นทางที่จะไปออสโล แต่ด้วยระยะทางที่ยาวไกลมาก คือประมาณ 355 กม. ผ่านเขาที่มีหิมะคลุมซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงโดยไม่รวมการพักระหว่างทาง มันจึงเป็นระยะการเดินทางที่ค่อนข้างไกล เขาเลยให้เราพักกันที่ เวสท์เลียรีสอร์ท เมืองไจโล (Geilo) ซึ่งจาก Gudvangen ไปก็ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือ 132 กม. ครับ ... พอถึงที่พัก ทุกคนก็ต้องร้องว๊าวๆไปตามๆกัน เพราะเราเดินทางมาหลายวันแล้ว แต่วันนี้เป็นวันที่เจอหิมะกำลังโปรยปรายลงพอดี แต่คิดว่าคงตกมาหลายวันแล้วเพราะบนหลังคาอาคารมีหิมะคลุมอยู่หนาพอสมควร.


 


Vestlia Ski-Resort, Geilo

Geilo เป็นเมืองสกีรีสอร์ท ตั้งอยู่ในหุบเขา Hallingdal ห่างจาก Bergen 250 กม. และ 260 กม.จาก Oslo คืออยู่ระหว่ากลางพอดี มีรถไฟสาย Bergen line (ฺBergensbanen เป็นรถไฟสายที่วิ่งจาก Oslo ไป Bergen, ซึ่งมีรถไฟวิ่งผ่านเมืองนี้ 5 เที่ยวต่อวัน) ในเมืองมีร้านค้าอยู่ไม่กี่ร้าน ถนนก็มีสายหลักอยู่เพียงเส้นเดียว เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นมาจากสกีรีสอร์ทนั่นแหละครับ ซึ่งก็มีผู้คนอยู่อาศัยประมาณ 2400 คน ไจโลอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 800 -1220 เมตร ... มีรีสอร์ทอยู่หลายแห่ง (เข้าไปอ่านได้ที่ : Official travel Guide to Geilo

กิจกรรมหลักในหน้าหนาวของที่นี่คือ สกี ซึ่งจะเริ่มช่วงปลายๆเดือนตุลาคมไปจนถึงปลายๆเดือนเมษายน ครับ ส่วนในหน้ร้อนก็ยังมีพวกพายเรือ เดินเขา ปั่นจักยานบนเขา และกีฬากอล์ฟเป็นต้น 





วันนี้เราได้ที่พักที่ ็ Hotel Vestlia Resort ซึ่งเป็นรีสอร์ทใหญ่ จะว่าเป็นโรงแรมก็ไม่น่าจะผิด ... โรงแรมตั้งอยู่ติดลานสกี อยู่ถัดจากที่ราบสูงภูเขา Hardangervidda และตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ Geilo Train Station ระยะทางเพียง 2 กม. โรงแรมเขาให้บริการห้องพักสไตล์ลอดจ์พร้อมอินเทอร์เน็ตไร้สาย (Wi-Fi) ฟรี สปาครบวงจรและห้องออกกำลังกาย ...  Hotel Vestlia Resort ได้รับการออกแบบโดย Helene Hennie ผู้เป็นสถาปนิกชาวนอร์เวย์ ... ในฤดูร้อนท่านสามารถตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟ 9 หลุมของ Vestlia Resort ซึ่งอยู่ถัดจากโรงแรม

ประมาณ 20 นาฬิกา ตอนไปถึงหิมะกำลังลงพอดี จัดการเข้าที่พักและออกมาทานมื้อเย็นกันที่ห้องอาหารในโรงแรม และออกไปเก็บภาพยามค่ำคืนมาฝาก ซึ่งลานสกียังเปิดไฟจ้าอยู่เลย...ส่วนห้องพักของที่นี่ดีครับ กว้างสบายตามราคานั่นแหละครับ

 


หลังโรงแรม...ที่เห็นเป็นทางด้านหลังคือทางเล่นสกีจากเขา



ภายในโรงแรม จัดบริเวณไว้สวยงาม



ด้านหลังใกล้สถานี Cable Car ของนักสกี





ช่วงเช้ากอ่นอาหารเช้าหิมะกำลังลงอีก เราออกมาเก็บภาพหลังโรงแรมอีกครั้ง









ด้านหลัง




ด้านหน้าโรงแรมยามเช้า ... เราออกมาเก็บภาพก่อนเดินทาง





ด้านหน้าโรงแรม มองไปที่เนินเขาอีกด้านเห็นลานสกีที่เปิดไฟอยู่...ส่วนเมืองก็อยู่ในหุบเขาระหว่างโรงแรม





หน้าโรงแรม ก่อนเดินทาง

ได้เวลาประมาณ 8.30 น. เราเออกเดินทางต่อไปกรุงออสโลกัน .... ระหว่างทางปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ทะเลสาบและแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งเกือย 100 เปอร์เซ็นต์





ระหว่างทางจาก Geilo - Oslo


รถวิ่งมาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาแวะเข้าห้องน้ำระหว่างทาง ซึ่งเขาบอกว่ามีที่เดียวที่จะเข้าได้หลายๆคนซึ่งด้านในเป็นซูปเปอร์สโตร์..หนาวมากๆ



เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเอเชีย...น่าจะจีน






พักรถและพักคนระหว่างทางเข้า Oslo

.....

เราเข้าถึงกรุงออสโลก็ไปทานมื้อเที่ยงที่เป็นอาหารพื้นเมืองของนอรเวย์กัน ร้านอาหารทำน่ารัก แบ่งเป็นห้องๆเล็กๆ อาหารส่วนมากเราจะออเดอร์ไว้ล่วงหน้าว่า จะทานสเต็กเนื้อหรือปลากัน .... เสร็จจากทานอาหารเราก็ไปชมพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง ซึ่งก็น่าทึ่งพอควร เรือไม่ใหญ่มาก แต่ก็สามารถเดินฝ่าน้ำฝ่าทะเลไปได้ตั้งไกล สภาพเรือบางลำยังค่อนข้างสมบูรณ์




Viking Ship Museum, Oslo
พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง นั้นเป็นอาคารที่มีความสูงสองชั้น ภายในนั้นจัดเเสดงเรือไวกิ้งที่ขุดค้นไปจำนวน 3 ลำด้วยกัน โดยขุดค้นพบตั้งเเต่ปี ค.ศ.1867 ถึง ปี ค.ศ.1903 ในเเต่ละบริเวณที่เเตกต่างกัน จึงมีการตั้งชื่อเรือตามสถานที่ที่ขุดค้นพบ โดยเรือลำใหญ่ที่มีสภาพสมบูรณ์อย่างมากอย่างเรือ Gokstad นั้นมีความใหญ่โตเเละน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ส่วนหัวเรือของ Oseberg นั้นก็มีความสวยงามด้วยการสลักเป็นรูปมังกรเเละหัวงู โดยมีความละเอียดอย่างมากจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรือรบ ทางด้านของเรือ Tune ถือว่าเป็นเรือลำเเรกที่ถูกค้นพบเเละเป็นลำเล็กที่สุด พร้อมกับเสียหานมากที่สุดจากการขดค้นพบ

 


Oseberg ship.


โดยสำหรับภายในเรือทั้งสามลำที่ตั้งเเสดงอยู่ใน Viking Ship Museum นั้นจะมีศพของผู้นำไวกิ้งที่ได้เสียชีวิตไปเเล้วอยู่ด้วยซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งในวัฒนธรรมหลังความตายของบรรดาชาวไวกิ้งที่จะเอาเรือไปฝังไว้ใต้ดินเหนียวเพื่อป้องกันการผุผังของไม้ ซึ่งก็ได้พิสูจน์เเละว่าสามารถรักษาเนื้อไม้เอาไว้ได้ โดยมีข้างของเครื่องใช้บนเรือเเละเครื่องประดับมากมายจัดเเสดงเอาไว้อีกด้วย นอกจากนี้เเล้วยังมีรถม้าที่มีภาพสลักเกี่ยวกับชาวไวกิ้งที่น่าสนใจอีกด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง โดยที่นี่จะเปิดให้เข้าชมทุกวัน โดยเก็บค่าธรรมเนียมในการเข้าชมเล็กน้อย


 


นอกจากนั้นก็ยังมีไม้แกะสลักเป็นรูปหัวงู (เขาเรียกว่าหัวสัตว์ หรือ The Animal - Head ... คงมีความเชื่อเช่นเดียวกับที่เราเชื่อเรื่องพญานาคล่ะครับ และรูปลักษณ์ก็คล้ายๆพญานาคเราด้วย) ซึ่งแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ มี 4 หัว ส่วนอีกหนึ่งหัวสภาพไม่สมบูรณ์เขาเก็บไว้ในห้อง ... ถ้าท่านเข้าไปในเวลาที่เหมาะสม ท่านจะได้ชมภาพยนต์เกี่ยวกับเรื่องราวของการเดินทางผจญภัยของชาวไวกิ้งด้วยครับ

 


ชาวไวกิ้งเป็นใคร
ไวกิ้ง (Vikings) ในความหมายหลักหมายถึงชนเผ่านักรบ นักการค้า และนักตั้งถิ่นฐานจากนอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก ซึ่งบุกรบชนะ ยึดครอง และตั้งอาณานิคมอาณาเขตในส่วนใหญ่ของอังกฤษ นอร์ม็องดี และรัสเซียเมื่อระหว่างประมาณ ค.ศ. 657 - ค.ศ. 1047 นอกจากนี้ยังบุกจู่โจมสเปน โมร็อกโก และอิตาลี ติดต่อการค้ากับจักรวรรดิไบแซนไทน์ เปอร์เซีย และอินเดีย ชาวไวกิ้งยังได้ค้นพบและยึดครองไอซ์แลนด์ และกรีนแลนด์ เดินเรือไปถึงชายทวีปอเมริกาเหนืออีกด้วย

การค้นหาแผ่นดินใหม่ พวกไวกิ้งใช้วิธีปล่อยนกดุเหว่าที่นำติดไปกับเรือด้วยให้ออกจากกรงขัง เมื่อนกดุเหว่าหลุดออกจากกรงขัง มันจะโผบินเป็นวงกลมสูงขึ้นไปในอากาศ ถ้ามันบินกลับย้อนทางเดิม ก็หมายความว่าเบื้องหน้าต่อไปนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่เลย แต่ถ้ามันบินพุ่งไปในทะเลทางทิศใดทิศทางหนึ่ง พวกไวกิงก็ทราบได้ทันทีว่า ทิศทางนั้นต้องมีผืนแผ่นดินอยู่ไกลลับสายตาเบื้องหน้าโน้น ซึ่งพวกเขาจะนำเรือออกค้นความจนพบดินแดนนั้นได้

ด้วยธรรมชาติของการเป็นนักจู่โจมทางเรือโดยทางทะเลซึ่งจะต้องเข้มแข็ง ดุดันและไม่กลัวอันตราย ชาวไวกิ้งจึงมีกิตติศัพท์หรือได้สมญาว่าเป็นพวกโหดเหี้ยมทารุณและเป็นนักทำลายล้าง แต่ในฐานะของพ่อค้าและนักปกครองอาณานิคม ชาวไวกิ้งนับได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทและอิทธิพลสูงทางดีในด้านการพัฒนายุโรปยุคกลาง การตั้งถิ่นฐานโพ้นทะเลในยุคแรกๆ ของชาวไวกิ้งได้แก่การตั้งเมือง "ออร์กนีย์" และที่หมู่เกาะ "เชตแลนด์" ซึ่งอยู่ในการปกครองของนอร์เวย์เรื่อยมาและสิ้นสุดเมื่อ ค.ศ. 1472

ช่วงเวลาที่นับเป็นยุคไวกิ้ง อยู่ระหว่าง ค.ศ. 793 - ค.ศ. 1066 ซึ่งสิ้นสุดยุคประมาณระหว่างยุคเชียงแสนและหริภุญชัย หรือก่อนสถาปนาราชวงศ์พระร่วงโดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (ค.ศ. 1249) 183 ปี

(อ่านเพิ่มเติม : 
ชาวไวกิ้ง)
 
 



...

 

จากพิพิธภัณฑืเรือไวกิ้ง เราเข้าสู่ใจกลางกรุงออสโลที่ถนนละลายทรัพย์กันต่อ บนถนนเส้นนี้ชื่อ Karl Johans gate เป็น Shopping street ที่ขึ้นชื่อของกรุงออสโล ... ถ้ายังจำกันได้ในบล๊อกต้นๆที่เราเข้ามาที่นอรเวย์ เราก็มาแวะทานมื้อเที่ยงกันที่ร้าน Hard Rock Cafe' ซึ่งก็อยู่แถวๆนี้ล่ะครับ วันนั้นเราเห็นสวนสาธารณะมีชิงช้าสวรรค์ตั้งอยู่ แต่ไม่มีเวลาแวะเข้าไป วันนี้จะพาไปเดินชมบรรยากาศกันครับ


 

ย่าน shopping ใน Oslo ... บริเวณถนน Karl Johans Gate

 


ศาลาว่าการกรุงออสโล (Radhurset) ... จะมีสถานที่มอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ



อาคารหน้าศาลาว่าการออสโล


โรงละครแห่งชาติ



อาคารรัฐสภานอรเวย์


โรงแรมแกรนด์



ซ้าย : อุโมงค์ไฟที่สวนสาธารณะ Stundenterlunden

ถนน Karl Johans Gate เป็นถนนสายหลักในกรุง Oslo ซึ่งตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ King Chales III John. ซึ่งก็เคยเป็น King ของสวีเดนชื่อว่า Charles XIV John. ด้วย .... ย่านคาร์ลโจฮันเกท ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ Oslo Central Station เป็นแหล่ง Shopping ที่เลื่องชื่อของเมืองออสโล สินค้าของฝากที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคือ เครื่องครัว พวงกุญแจ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม สินค้าและของที่ระลึกต่างๆ ที่ขายกันในประเทศนี้จะมีราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากนอร์เวย์เป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง แต่ถึงแม้ว่าประเทศนอร์เวย์จะมีสินค้าที่แพง แต่ก็ยังมีช่วงลดราคาสินค้า คือ ปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ ช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ และ ช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม ... วันนั้นเราไปในช่วงที่กำลังจะมีงานเทศกาลคริตมาสพอดี เลยได้เสื้อกันหนาวที่ลด 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งประเภทว่าใครเร็วก็ได้คือมีของจำกัดหมดแล้วหมดเลย เห็นสาวๆนอรเวย์เจียนหอบเอายังกะของให้เปล่า.



Shopping street, Karl Johans Gate




สวนสาธารณะ Studenterlunden งาน X'mass มีสินค้ามาวางขายทั้งของกินและเสื้อผ้า



หัวกวางตัวนี้พูดได้ด้วย...ฝรั่งมุงถ่ายภาพกันใหญ่

 


ลานสะเก็ตน้ำแข็งในสวน Stundenterlunden.

 

เราเดินเที่ยวชมสินค้า (ไม่ค่อยซื้อเพราะราคาแพง) จนค่ำ ... ปัญหาใหญ่ของเราคือห้องน้ำ เพราะหาที่เป็นสาธารณะแบบฟรีไม่เจอเลย หรือว่าเราไม่รู็แหล่งก็ได้นะ เลยต้องไปเข้าห้องน้ำในงานที่สวน ซึ่งเขาจะทำเป็นบล๊อกๆหลังเล็กๆ ที่ประตูจะมีเครื่องรูดบัตรเครดิตไว้ให้ ราคาก็แพงอีกนั่นแหละ ร่วม 50 บาทบ้านเรา ... สงสัยเวลาฝรั่งนอรเวย์มาเที่ยวบ้านเราคงเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยล่ะ เพราะของกิน เสื้อผ้า ราคาถูกมากๆเมื่อเทียบกับบ้านเขา แถมห้องน้ำฟรีหาได้ไม่ยากนักในไทยแลนด์ .... ประมาณ 17.00 นาฬิกาเราเดินทางไปที่สนามบินออสโล การ์เดอร์มอน ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงออสโลประมาณ 45 นาที (50 กม.) ซึ่งเราจะเดินทางต่อไปที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ในเวลา 20.15 น. ด้วยเที่ยวบิน AY918. .... เจอกันที่ Helsinki, Finland ครับ.



ที่ Therminal สนามบิน ออสโล การ์เดอร์มอน ... ตู้ self check in มีมากมายที่นั่น



ที่สนามบินออสโล การ์เดอร์มอน