วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562

+ เที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 7 ... วัดคินคะคุจิ (วัดทอง) +






อัพบล๊อกวันนี้ เรายังอยู่ที่เมืองเกียวโต ประเทศี่ปุ่นเพื่อชมใบไม้แดงต่อนะครับ หลังจากบล๊อกที่แล้วเราไปชมใบไม้แดงที่วัดคิโยมิสึ-เถระ มาแล้ว และวันนี้จะพาไปชมใบไม้แดงต่อที่วัดทอง หรือตำหนักทอง หรือ วัดคินคาคุจิ (Kinkakuji Temple) ซึ่งในทุกๆฤดู วัดนี้ก็เป็นที่นิยมมาชมของนักท่องเที่ยวมากมายเสมอครับ ... เรามาถึงวัดทองเมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. ซึ่งในฤดูหนาวแบบนี้อากาศสบายๆครับ 10 กว่าองศา


เข้าสู่บริเวณวัดคินคาคุจิ


จอดรถเสร็จก็เดินข้ามถนนเข้าประตูวัดไปเพื่อซื้อบัตรเขาชมในตัวตำหนักทอง คนละ 400 เยน .... ในช่วงปลายพฤศจิกายนแบบนี้ที่นี่เต็มไปด้วยใบเมเปิ้ลสีแดงตระการตาไปหมด แค่ในสวนส่่วนแรกที่เราผ่าเข้าไปก็เพลินกับการถ่ายภาพเสียแล้ว




เข้าสู่ส่วนที่เป็นวัดก่อน

ตัววัดคินคาคุจิที่อยู่ติดตำหนักทอง



ตำหนักทอง หรือชอบเรียกว่าตำหนักทองเป็นอาคารสูง 3 ชั้น 2 ชั้นด้านบนฉาบด้วยสีทอง ... ซึ่งแต่ละชั้นมีโครงสร้างทางสถาปัตย์ต่างกัน



คินคะคุจิ (วัดทอง)

คินคะคุจิ (金閣寺, วัดทอง) เป็นวัดในนิกายเซน ตั้งอยู่ทางเหนือของเกียวโต (Kyoto) ที่มีชั้นบนสุดของตัวอาคารตกแต่งด้วยทองคำเปลวสุกอร่ามตา แต่เดิมนั้น วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักในชื่อโรคุออนจิ (Rokuonji) โดยเป็นบ้านพักสำหรับบั้นปลายชีวิตของโชกุนอะชิคางะ โยชิมิทสึ (Ashikaga Yoshimitsu) และตามเจตน์จำนงค์ของท่าน ได้อุทิศให้กับนิกายเซนลัทธิรินไซ (Rinzai sect) ภายหลังจากที่ท่านสิ้นอายุขัยในปี 1408 คินคะคุจิเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างวัดกินคะคุจิ (Ginkakuji) หรือวัดเงิน ซึ่งก่อสร้างโดยหลานของโยชิมิทสึ นั่นคือโชกุนอะชิคางะ โยชิมาสะ (Ashikaga Yoshimasa) ในอีกสองสามทศวรรษถัดมา โดยตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมือง




คินคะคุจิเป็นอาคารที่งดงามสร้างขึ้นโดยให้หันหน้าไปทางสระน้ำขนาดใหญ่ และเป็นอาคารเพียงหลังเดียวที่เหลืออยู่ในหมู่อาคารที่โยชิมิทสึใช้เป็นบ้านพักในบั้นปลายชีวิต อาคารแห่งนี้ถูกเผาทำลายหลายต่อหลายครั้งในประวัติศาสตร์ รวมถึงสองครั้งในช่วงสงครามกลางเมืองโอนิน (Onin War) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายให้กับเมืองเกียวโตอย่างมาก นอกจากนี้ในปี 1950 วัดทองยังถูกเผาอีกครั้งโดยพระคลั่งศาสนารูปหนึ่ง อาคารในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นในปี 1955



ตัวอาคารวัดทอง หรือ Golden Pavilion


คินคะคุจิสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความหรูหราของวัฒนธรรมคิตายาม่า (Kitayama) ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงที่มั่งคั่งของเกียวโตในสมัยของโยชิมิทสึ ในแต่ละชั้นของอาคารสร้างขึ้นโดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมที่ต่างกัน

โดยในชั้นแรกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบชินเด็น (Shinden) ซึ่งใช้สำหรับการก่อสร้างอาคารของราชวังในสมัยเฮอัน (Heian Period) โดยเสาไม้ธรรมชาติและกำแพงปูนปลาสเตอร์สีขาวของชั้นล่างนี้ ช่วยขับให้ชั้นบนของอาคารซึ่งเป็นสีทองดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ภายในตัวอาคารชั้นหนึ่งประดิษฐานรูปปั้นพระศากยมุนี (Shaka Buddha) หรือพระพุทธเจ้าผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธตามประวัติศาสตร์ และรูปปั้นของโชกุนอะชิคางะ โยชิมิทสึ อย่างไรก็ตาม อาคารนี้ไม่เปิดให้คนนอกเข้าชม แต่คุณยังคงสามารถมองเห็นรูปปั้นทั้งสองได้จากมุมสระน้ำฝั่งตรงข้าม หากพยายามมองเพ่งเข้าไป เนื่องจากหน้าต่างด้านหน้าของชั้นล่างมักจะถูกเปิดเอาไว้เสมอ

ชั้นที่สองของอาคารสร้างขึ้นโดยใช้แนวสถาปัตยกรรมบัคเค (Bukke) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้ในการสร้างที่อยู่อาศัยของซามูไร และภายนอกได้รับการตกแต่งโดยการปิดแผ่นทองคำเปลวจนเป็นสีทองสุกอร่ามทั่วชั้นอาคาร ภายในชั้นสองจะประดิษฐานรูปปั้นพระโพธิสัตว์คันนอน หรือพระแม่กวนอิมปางประทับนั่ง รายล้อมด้วยรูปปั้นของท้าวจตุมหาราช (Four Heavenly Kings) ทั้งสี่พระองค์ อย่างไรก็ตาม รูปปั้นเหล่านี้ไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมสักการะ

ชั้นที่สามซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ใช้สถาปัตยกรรมแบบนิกายเซนของจีน (Chinese Zen Hall) และปิดทองทั้งภายนอกและภายใน ส่วนบนยอดอาคารมีรูปปั้นหงส์ (phoenix) ทองคำยืนอยู่


สระเคียวโคะจิ หรือสระกระจก


The Golden Pavilion ที่สะท้อนในสระเคียวโคะจิ 


สระเคียวโคะจิ หรือสระกระจก





มีตำนานเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องอิกคิวซัง ที่วัดนี้ ว่าวัดนี้เคยเป็นที่พำนักของโชกุนอาชิคางะ โยชิมิซึ (Shogun Ashikaga Yoshimitsu) ผู้ที่ชอบทายปุจฉา – วิสัชนา กับอิกคิวซังในการ์ตูนเรื่องอิคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา ก็จำลองเรื่องราวเหตุการณ์ของศาลาทองในวัดนี้ให้เป็นปราสาทของท่านโชกุน (โชกุนอาชิกางะ โยชิมิสึ ( Ashikaga Yoshimistsu ) 






เดินอ้อมด้านหลังอาคารไปสู่สวน






หลังจากที่ได้ชมคินคะคุจิจากฝั่งสระน้ำแล้ว ผู้มาเยือนจะเดินทางผ่านอดีตที่พำนักของเจ้าอาวาส (โฮโจ) ซึ่งมีชื่อเสียงจากประตูเลื่อนหรือฟุซูมะ (Fusuma) ที่วาดเป็นลวดลายอย่างงดงาม อย่างไรก็ตาม อาคารแห่งนี้ไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชม จากนั้นเส้นทางจะนำคุณผ่านคินคะคุจิจากด้านหลัง ซึ่งจะออกไปสู่สวนของวัดที่ยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ตั้งแต่ในสมัยของโยชิมิทสึ ภายในสวนแห่งนี้ยังมีจุดสนใจอื่นๆ อาทิเช่น สระอันมินทาคุ (Anmintaku Pond) ซึ่งกล่าวกันว่ามีน้ำที่ไม่เคยเหือดแห้ง และรูปปั้นที่เปิดให้ผู้เข้าชมโยนเหรียญเพื่อความโชคดี

เมื่อเดินทางผ่านสวนไป คุณจะพบกับเรือนชงชาเซคคาเทอิ (Sekkatei Teahouse) ซึ่งถูกสร้างเพิ่มเติมในสมัยเอโดะ (Edo Period) เป็นจุดสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นสุดพื้นที่ที่ทางวัดเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชม ด้านนอกทางออกจะเป็นร้านขายของที่ระลึก และสวนชา (Tea Garden) ซึ่งเป็นสวนเล็กๆ ที่คุณสามารถนั่งดื่มชาและขนมหวาน (500 เยน) และหอฟุโดะ (Fudo Hall) ซึ่งเป็นอาคารขนาดเล็กที่ประดิษฐานรูปปั้นฟุโดะเมียวโอ (Fudo Myoo) หนึ่งในห้าเทพรักษาพระธรรม (Five Wisdom King) และผู้ปกป้องพระพุทธศาสนา กล่าวกันว่ารูปปั้นนี้เป็นผลงานของโคโบ ไดชิ (Kobo Daishi) ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญด้านศาสนาในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น

แหล่งข้อมูล : https://www.th.jal.co.jp/thl/th/guidetojapan/detail/?spot_code=kinkakuji




  
จากเนินเขาบนสวนมองเห็นหลังคาอาคาร



เดินไปทางออกตรงสวนชงชากำลังมีพิธีกรรมกันอยู่


ทางออกที่เดินลงเนินไปตามบันได







การเดินทาง

คุณสามารถเดินทางไปยังคินคาคุจิ โดยขึ้นรถประจำทางเกียวโต ซิตี้ บัสสายตรงหมายเลข 101 หรือ 205 ที่สถานีเกียวโต (Kyoto Station) ซึ่งจะใช้เวลาเดินทาง 40 นาที และมีค่าใช้จ่าย 230 เยน อีกทางเลือกหนึ่งในการเดินทาง ซึ่งอาจรวดเร็วกว่าและตรงเวลามากกว่า คือโดยสารรถไฟใต้ดินสายคาราสุมะ (Karasuma Subway Line) ไปยังสถานีคิตาโอจิ (Kitaoji Station) ใช้เวลา 15 นาที ค่าตั๋วโดยสาร 260 เยน แล้วนั่งแท็กซี่ต่ออีก 10 นาที ซึ่งจะมีค่าโดยสาร 1,000-1,200 เยน หรือโดยสารรถประจำทาง ใช้เวลา 10 นาที ค่าตั๋วโดยสาร 230 เยน โดยขึ้นรถหมายเลข 101, 102, 204 หรือ 205 จากที่สถานีไปยังคินคาคุจิ


วันนี้พาคุณๆเพลิดเพลินไปกับการชมใบไม้แดงที่วัดทอง ซึ่งสวยงามมากในปลายเดือนพฤศจิกายนเช่นนี้ คิดว่าคุณๆคงได้ชมภาพกันอย่างจุใจนะครับ ส่วนบล๊อกหน้าถือว่าเป็นบล๊อกส่งท้ายในการเที่ยวชมใบไม้แดงในเกียวโตแล้ว คอยติดตามนะครับ



_____ขอบคุณที่ตามอ่านครับ_____ 


ลาด้วยภาพนี้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2562

+ เที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 6 .... วัดคิโยมิสึ +




อ่าน : เที่ยวญี่ปุนช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 5 ... วัดเทนริวจิ


สวัสดีปีใหม่ 2562 หรือ 2019 ครับ .... บล๊อกนี้เป็นบล๊อกแรกของปี 2019 ซึ่งเป็นปีหมู แต่ จขบ. บอกได้เลยว่าปีนี้ไม่มีอะไรหมูๆแน่ หลายเรื่องหลายราวประดังเข้ามาสู่ชาวเรา ไม่ว่าเศรษฐกิจที่ต้องรอขาขึ้น การเมืองที่ต้องรอรัฐบาลใหม่ ส่วนท่านใดที่รออะไรใหม่ๆ ก็คงต้องพยามกันต่อไปครับ และขอให้ความพยามของท่านจงประสบผลในเร็ววัน.

เริ่มศักราชใหม่เราจะพาคุณๆเที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีต่อครับ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่ 5 ของทริปพาคุณยายเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว ซึ่งตรงกับวันที่ 28 พฤศจิกายน 2018 และบล๊อกนี้จะพาไปชมวัดมรดกโลกขงญี่ปุ่นอีกวัดหนึ่งในเกียวโตต่อ นั้นคือ วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu) หรือวัดน้ำใสครับ




ทางขึ้นสู่วัดคิโยมิสึ

ตื่นเช้าเราเดินทางออกจาก Hotel Boston Plaza ที่ Kusatsu ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงที่จอดรถทางขึ้นวัดในเวลาประมาณ 8.20 น.  เราให้รถไปส่งตรงป้ายรับส่งผู้โดยสารที่ใกล้ที่สุด ก่อนเดินทางขึ้นสู่วัด ตามทางเดินสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับวัคิโยมิสึ และร้านอาหารประเภทซื้อใส่ถุงเดินทานไปได้ .... ข้อดีของการมาวัดนี้ในช่วงเช้าๆคือนักท่องเที่ยวประเภทกลุ่มทัวร์ยังมาไม่ค่อยถึง (แต่ก็มีบางกลุ่มมาแล้วเช่นกัน) เลยไม่ต้องเดินเบียดกันในถนนแคบๆ แต่ข้อเสียคือร้านรวงยังไม่เปิดหมด แต่เราคิดว่ามาช่วงแบบนี้ดีกว่า เพราะยังมีพื้นที่ให้เราได้เก็บภาพพอควร .... อย่าลืมว่าวัดคิโยมิสึเถระนี่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของคทที่มาเที่ยวเกียวโตเลยนะครับ แม้ช่วงนี้วัดจะมีการบูรณะอยู่เป็นบางส่วน (กำหนดการบูรณะวัด แบ่งเป็นส่วนๆ ตั้งแต่ปี 2017 - 2020 เลยนะครับ) วันนี้อาคารหลัก หรือ เราชอบเรียกว่าศาลาท่อนซุงนั้น กำลังบูรณะอยู่ครับ



ขึ้นถึงบริเวณวัดแล้ว



....ขอคัดลอกข้อความมาเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบเรื่องราวของวัดดังนี้ครับ....


วัดคิโยมิสึ (ญี่ปุ่น: 清水寺 Kiyomizu-dera วัดน้ำใส) ตั้งอยู่บนเขาโอโตวะ (ญี่ปุ่น: 音羽山 Otowa-san) ทางตะวันออกของนครเกียวโต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ (Historic Monuments of Ancient Kyoto) ซึ่งเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก อาคารหลักของวัดคิโยมิสึได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น ชื่อของวัดซึ่งมีความหมายว่าน้ำบริสุทธิ์ มีที่มาจากน้ำตกที่ไหลผ่านเนินเขาลงมาบริเวณวัด





เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกหน่อย


ตำนานการสร้างวัดคิโยมิสึ กล่าวว่า ในค.ศ. 776 พระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่าเค็นชิง (ญี่ปุ่น: 賢心 Kenshin) ซึ่งจำวัดอยู่ที่นครนาระ ฝันว่ามีชายชราคนหนึ่ง บอกว่าให้พระภิกษุเค็นชิงเดินทางออกจากนครนาระไปทางเหนือ เพื้อค้นหาน้ำตกซึ่งมีน้ำที่ใสสะอาด พระภิกษุเค็นชิงจึงออกจากนครนาระเดินทางไปทางเหนือ จนไปถึงเขาโอโตวะค้นพบน้ำตกซึ่งมีน้ำที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ และพบกับพระภิกษุอีกรูปหนึ่งชื่อว่า เกียวเอโกจิ (ญี่ปุ่น: 行叡居士 Gyōe-koji) พระภิกษุเกียวเอโกจิได้แจ้งแก่พระภิกษุเค็นชิงว่า เขาโอโตวะและน้ำตกน้ำใสแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่กวนอิม และจงแกะสลักต้นไม้ให้เป็นรูปเซ็งจู คันนง หรือ เจ้าแม่กวนอิมพันมือ จากนั้นพระภิกษุเกียวเอโกจิก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พระภิกษุเค็นชิงเข้าใจว่าพระภิกษุเกียวเอโกจิคือเจ้าแม่กวนอิมจำแลงกายมา จึงแกะสลักต้นไม้เป็นรูปเจ้าแม่กวนอิมพันมือ และจำวัดอยู่บนเขาโอโตวะนั้น

อีกสองปีต่อมาค.ศ. 778 ซามูไรชื่อว่าซากาโนอูเอะ โนะ ทามูรามาโระ (ญี่ปุ่น: 坂上田村麻呂 Sakanoue no Tamuramaro) เดินทางมาเพื่อล่าสัตว์ยังเขาโอโตวะ ได้พบกับพระภิกษุเค็นชิงซึ่งได้ร้องขอให้ซากาโนอูเอะหยุดการปาณาติบาตในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่กวนอิมพันมือ และเทศนาพระธรรมคำสอนให้แก่ซากาโนอูเอะ ซากาโนอูเอะมีความประทับใจในพระธรรมคำสอนและปาฏิหาริย์ขององค์เจ้าแม่กวนอิมพันมือ จึงสร้างวัดประดิษฐานรูปเจ้าแม่กวนอิมพันมือที่แกะสลักจากไม้ไว้เพื่อเป็นการบูชา และตั้งชื่อวัดว่า วัดคิโยมิสึ แปลว่า วัดที่มีน้ำใสสะอาดบริสุทธิ์

ตลอดประวัติศาสตร์การก่อตั้งวัด หนึ่งพันสองร้อยปีของวัดคิโยมิสึนั้น วัดคิโยมิสึสังกัดนิกายฮซโซ (ญี่ปุ่น: 法相 Hossō) หรือนิกายโยคาจาร และอยู่ภายใต้การปกครองของวัดโคฟูกุเมืองนาระอันเป็นวัดศูนย์กลางของนิกายฮซโซ จนกระทั่งค.ศ. 1965 วัดคิโยมิสึได้แยกออกมาตั้งนิกายของตนเอง เรียกว่า นิกายคิตาฮซโซ (ญี่ปุ่น: 北法相 Kita-Hossō) หรือ นิกายฮซโซเหนือ

อาคารหลักของวัดคิโยมิสึเป็นที่รู้จักจากระเบียงขนาดใหญ่สูง 13 เมตร มีเสาไม้กว่าร้อยต้นรองรับ สร้างยื่นออกจากด้านข้างของเนินเขา จากระเบียงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเกียวโตได้ วลีที่กล่าวว่า "กระโดดจากระเบียงวัดคิโยมิซุ" ซึ่งหมายความว่า ตัดสินใจกะทันหัน หรือกล้าตัดสินใจ วลีนี้มีที่มาจากความเชื่อในสมัยเอโดะที่ว่า หากผู้ใดสามารถกระโดดจากระเบียงวัดแล้วสามารถรอดชีวิตได้ ความปรารถนาของผู้นั้นจะสัมฤทธิ์ผล

คำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้ในการรอดชีวิตจากการกระโดดระเบียงคือ ด้านล่างของระเบียงมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น ซึ่งอาจจะชะลอแรงจากการตกได้บ้าง ในปัจจุบันทางวัดห้ามมิให้มีการกระโดดระเบียง แต่ในสมัยเอโดะมีการบันทึกไว้ว่า มีผู้มากระโดดถึง 234 คน และรอดชีวิตได้คิดเป็นร้อยละ 85.4 ของทั้งหมด


ข้างใต้อาคารหลักคือ น้ำตกโอตาวะ ซึ่งเป็นสายน้ำ 3 สายไหลลงสู่บ่อน้ำ ผู้มาเยี่ยมชมวัดมักจะมาดื่มน้ำจากน้ำตกนี้ด้วยถ้วยโลหะ ด้วยความเชื่อว่าสามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ และยังเชื่อกันว่าการดื่มน้ำจากสายน้ำตกทั้ง 3 นี้ มีความหมายถึงสุขภาพ ความรัก และความสำเร็จในการศึกษา

ภายในบริเวณวัดเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอื่น ๆ จำนวนมาก ที่เป็นที่รู้จักดีคือ ศาลเจ้าจิชู (Jishu-jinja) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพโอกูนินูชิโนะ มิโกโตะ (Okuninushino Mikoto) เทพแห่งความรักและเนื้อคู่ ภายในศาลเจ้ามี "ก้อนหินแห่งความรัก" 2 ก้อน ตั้งอยู่ห่างกัน 18 เมตร เชื่อกันว่า หากสามารถหลับตาเดินจากก้อนหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งได้ จะสมปรารถนาในความรัก

วัดคิโยมิสึเป็นสถานที่ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัด จึงมีพ่อค้านำสินค้ามาขายในบริเวณวัดมากมาย สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องราง เครื่องหอม ธูป เทียน หรือกระดาษเสี่ยงทายโชคชะตา


ที่มา: https://th.wikipedia.org/



จากระเบียงวัดจะมองเห็นใบไม้แดงทั่วบริเวณ และไกลออกไปคือนครเกียวโต


ก่อนจะเข้าไปไหว้พระขอพรจากเจ้าแม่กวนอิมพันมือ ก็ต้องจ่ายค่าบัตรคนละ 300 เยน


เมื่อเข้ามาในบริเวณวัดแล้ว ก็เดินชมบริเวณรอบๆด้านหน้าของอาคารหลัก (ที่มีเสาไม้ซุงขนาดใหญ่) ก่อนจะเข้าไปไหว้พระในวัด โดยจะต้องซื้อบัตรผ่านเข้าไปคนละ 300 เยน แล้วเดินผ่านศาลาเข้าไปกราบไหว้พระโพธิสัตย์กวนอิม 11 หน้า 1000 กร แล้วชมภาพใบไม้แดงตรงระเบียงอาคารหลัก เมื่อออกจากอาคารหลัก เราควรขึ้นไปศาลเจ้า.... ก่อนเพื่อขอพร (ถ้าไม่มีเวลาก็เดินเลยไปที่หอ Okuno-in) ซึ่งบนนั้นนอกจากมีสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ใกล้ศาลเจ้าเล็กๆแล้ว ยังมีก้อนหินเสียงทายเรื่องความรัก 2 ก้อน ซึ่งว่ากันว่าถ้าใครหลับตาแล้วเดินจากก้อนหนึ่งไปแตะอีกก้อนได้โดยไม่มีคนช่วย จะสมหวังในรัก ซึ่งหิน 2 ก้อนนั้นอยู่ห่างกัน 18 เมตรครับ ... พอลงมาจากศาลเจ้าแล้วเดินวนไปไปอีกศาลาบนไหล่เขา หรือเรียกว่าหอ Okuno-in จากตรงนั้นเราจะมองเห็นระเบียงอาคารหลักได้ชัดเจน เห็นคนยืนออกันตรงระเบียงเพื่อถ่ายภาพ ส่วนไกลออกไปจะเป็นเมืองเกียวโต ... เดินเลยออกไปก็จะเป็นทางวนลง มี 2 แยก แยกซ้ายไปจะเป็นหอสำหรับขอพรเรื่องครอบครัวและบุตร ส่วนทางตรงไปก็จะไปสู่น้ำตกโอตาวะ จะเห็นผู้คนมากมายเดินเข้าคิวไปรองน้ไดื่มกัน (จขบ. ไปวัดนี้ 3 ครั้ง ไม่เคยได้ดื่มเลย อย่างมากแค่ได้น้ำในบ่อพรมศรีษะเท่านั้น) .... เลยออกไปเหมือนจะผ่านร้านเหล้า หรือ ร้านอาหารนี่แหละ ก่อน เดินต่อออกไปหน้าวัดครับ ... นั่นคือ Route ทางเดินคร่าวๆในวัด



ที่ระเบียงอาคารหลัก (Hondo) ที่มีเสาท่อนซุงขนาดใหญ่กว่าร้อยต้น เป็นเสาสูง 13 เมตรรองรับ


ออกจากศาลาท่อนซุง แวะซ้ายขึ้นไปผ่านเสาประตูศาลเจ้าจิชู (Jishu-jinja) จะมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิและ "ก้อนหินแห่งความรัก" 2 ก้อน ตั้งอยู่ห่างกัน 18 เมตร


ศาลเจ้าจิชูจินจะอยู่ภายในอาณาเขตวัด ว่ากันว่าหากมาขอพรที่นี่ จะทำให้สมหวังในความรัก เราจะเห็นคนที่กำลังหาคู่รักมาเดินหลับตาระหว่างหินสองก้อน ถ้าเดินไปถึงอีกด้านได้ตามลำพัง หมายความว่าคนคนนั้นจะได้พบกับความรัก คนที่ต้องมีผู้ให้ความช่วยเหลือเพื่อเดินไปถึงหินอีกด้าน จะต้องการความช่วยเหลือ จากคนกลางเพื่อตามหาให้เจอคนรัก



ลงจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิด้านบนจะมีบันไดลงไปสู่น้ำตกสามสายด้านล่าง หรือจะเดินวนไปทางเจดีย์และลงอีกทางก็ได้


จากระเบียงหอ Okuno-in อีกด้านของไหล่เขา จะมองเห็นศาลาท่อนซุงใหญ่ (ขวามือ) กำลังบูรณะ 


ระเบียงอาคารหลัก ... ตรงที่ว่ากันว่ามีคนมากระโดดเสี่ยงทาย (ตอนนี้ห้ามแล้ว)

มีความเชื่อพิเศษของวัดคิโยมิสึเดระ  คือ การกระโดดระเบียงวัดคิโยมิสึเดระ กระโดดลงจากระเบียงที่วัดคิโยมิสึเดระแล้ว  สามารถรอดชีวิตกลับมาได้
ความปรารถนาของคนๆนั้นจะเป็นจริง ในอดีตมีชาวญี่ปุ่นมากระโดดระเบียงนี้กันจริงๆ แต่ในปัจจุบัน ทางวัดไม่อนุญาตให้กระโดดแล้ว



อาคารหลัก หรือบางครั้งเรียกว่าศาลาท่อนซุง (ถ่ายเมื่อปี 2014)



มุมนี้เห็นเกียวโตชัดมาก

ไกลออกไปที่เห็นคล้ายๆเจดีย์เป็นหอสำหรับขอพรเรื่องครอบครัวและบุตร


ตรงระเบียงศาลาใหญ่ที่คนยืน 






ตรงระเบียงของหอ Okuno-in


น้ำตกโอตาวะ จากมุมบน

"เชื่อกันว่าหากดื่มน้ำจาก น้ำตก 3 สายแล้วจะได้รับโชคดี คือ
แม่น้ำสายที่ 1 จะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา
แม่น้ำสายที่ 2 จะสมหวังเรื่องความรัก และ
แม่น้ำสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรงทำให้มีอายุยืนยาว"





ใบเมเปิ้ลเหลืองออกสลับกับสีแดง ก็สวยไปอีกแบบ .... ถ้าสังที่ใบจะเห็นมีคราบดำๆ ผู้รู้บอกว่าเกิดขึ้นเนื่องจากปีนี้ญี่ปุ่นมีพายุบ่อยเลยมีคราบสกปรกมาติดที่ใบ





แยกซ้ายขึ้นไปหอขอพรเรื่องบุตร




สายน้ำ 3 สายของน้ำตกโอตาวะ


ตามทางเดินมีต้นเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนสีเป็นสีแดงสวยตลอดเส้นทาง












การเดินทาง

คุณสามารถเดินทางไปยังวัดคิโยะมิซึเดระ โดยขึ้นรถประจำทางหมายเลข 100 หรือ 206 ที่สถานีเกียวโต (Kyoto Station) ซึ่งจะใช้เวลาเดินทาง 15 นาที และมีค่าใช้จ่าย 230 เยน ลงจากรถที่ป้ายหยุดรถประจำทางโกโจ-ซากะ (Gojo-zaka) หรือคิโยมิซึ-มิชิ (Kiyomizu-michi) จากนั้นเดินขึ้นเนินเข้าสู่วัดโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที หรือคุณสามารถเดินจากสถานีคิโยมิซึ-โกโจ (Kiyomizu-Gojo Station) บนสายรถไฟเคฮัน (Keihan Railway Line) โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที

CR : JAL Guide to Japan




เหมือนจะเป็นซากุระ

เช้านี้เราใช้เวลาเกือบครึ่งเช้าที่วัดคิโยมิสึเถระ เพื่อไหว้พระขอพรและชมใบไม้แดงด้วย ที่นี่จะมีความสวยงามแตกต่างกันไปทุกฤดูกาล ช่วงใบไม้ผลิก็จะได้ชมดอกซากุระสพรั่งไปทั้งบริเวณวัดเช่นกัน .... วันนี้เรายังอยู่ที่เกียวโตกันต่อครับ เดี๋ยวบล๊อกหน้าคอยติดตามนะครับ



____ขอบคุณที่ตามอ่านครับ____



กลับออกมาที่เดิม...และลากันด้วยภาพนี้ครับ