วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

ออนซอน หลวงพระบาง ๑




 

ราวที่แล้วเราเดินทางขึ้นสู่แขวงเซียงขวาง เพื่อไปชมทุ่งไหหินกัน และพักที่นั่น 1 คืน ก่อนเดินทางมาหลวงพระบางและจบบล๊อกตรงสามแยกภูคูณกัน

วันนี้จะพาเดินทางต่อจากคราวที่แล้ว โดยใช้เส้นทางหมายเลข 13 จากพูคูณสู่หลวงพระบาง เส้นทางช่วงนี้ยังเป็นเขตที่มีภูเขาสูงชันเหมือนเดิม วันนี้เราเจออุบัติเหตุรถตากเขากำลังมีคนมาดูกันอยู่ แต่เราไม่จอดหรกเพราะว่ามีคนมาดูกันเยอะแล้ว ... ที่ว่ามาดู ก็คงไม่ผิดนัก เพราะบริเวณที่รถตกลงไปนั้นสูงมากครับ


กิ่วกระจำ ที่พักรถและทานอาหารระหว่างภูคูณ - หลวงพระบาง






เส้นทางจากภูคูณ - หลวงพระบาง


วันนี้ผมขึ้นหัวบล๊อกซะแปลก (สำหรับคนที่ไม่ใช่คนที่เกิดในอีสาน) "ออนซอน หลวงพระบาง ๑" หลายท่านคงจะสับสนในความหมายของคำนี้ "ออนซอน" งั้นเรามาเล่าภาษาอีสานวันละคำกันดีกว่า

ผู้รู้บางท่านให้คำอธิบายว่า "ออนซอน" หมายถึง งาม; เพราะพริ้ง, ซาบซึ้งตรึงใจ. (เพี้ยนมาจาก อรชร) ออนชอน.= อรชร
แต่ผมเองมองว่า คำว่า "ออนซอน" ในภาษาอีสาน น่าจะแปลว่า น่ารัก น่าชื่นชม น่าอิจฉา เช่น เป็นตาออนซอนลูกเพิ่นแท้ เรียนเก่ง สอบเข้าหยังกะได้ เป็นต้น ความหมายในภาษากลางก็คือ "น่าชื่นชมลูกเขานะ เรียนเก่ง สอบเข้าอะไรก้ได้" .... ฉะนั้นบล๊อกนี้จึงเป็นบล๊อกชื่นชม หลวงพระบาง ครับ


วิวเมือหลวงพระบางยามใกล้ค่ำ (จากพระธาตุพูสี)

ออกเดินทางจากภูคูณ ซึ่งเป็นสามแยกชุมทางที่เส้นทางหมายเลข 7 มาบรรจบกับเส้นทางหมายเลข 13 เพื่อจะเชื่อมต่อไปยังหลวงพระบางและแขวงทางเหนือตามลำดับ .. ผ่านกิ่วกระจำที่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่รถจะมาจอดพักเพื่อเข้าห้องน้ำและทานอาหารกัน

ที่นี้มีร้านอาหารใหญ่ๆอยู่หลายร้าน ส่วนใครจะเข้าห้องน้ำก็แพงหน่อยนะ คือ 2000 กีบ ด้านหลังห้องอาหารเหล่านั้น ถ้าเดินออกไปดู จะเห็นวิวทิวเขาสลับซับซ้อนสวยงามครับ


 


สภาพทั่วไปโรงแรมวันซะนะหลวงพระบาง


ที่หลวงพระบาง เราจองโรงแรมผ่าน Agoda มา ได้โรงแรมวันซะนะหลวงพระบาง อยู่ใกล้ๆบริเวณแหล่งท่องเที่ยวนั่นแหละครับ แต่มาถึงกว่าจะหาเจอก็นานพอดูครับ เพราะไปแอบบอยู่ในถนนเล็กๆ และป้ายหน้าโรงแรมก็ไม่มีไฟ

สภาพห้องพักถือว่าใช้ได้ครับสำหรับโรงแรมระดับ 3 ดาว มีของใช้ครบ รวมทั้งแปรงและยาสีฟันด้วย ติดห้องที่เราพักเป็นสระว่ายน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างอาคาร บริเวณภายใน จัดไว้ดีพอควร ... เราเก็บของเสร็จก็ออกไปหาข้าวเย็นทาน วันนี้ได้ร้านถูกใจแถวๆปากน้ำคาน ตกแต่งร้านคล้ายๆสวนอาหาร เดินทางมาเหนื่อยๆ วันนี้เบียร์ดำลาวหมดไปหลายขวดเหมือนกัน


วิวที่ร้านอาหารริมน้ำคาน




หลวงพระบาง

หลวงพระบางเป็น 1 ใน 6 แขวงภาคเหนือของประเทศลาว ซึ่งประกอบไปด้วย หลวงพระบาง, อุดมไซ, ไซยะบุรี, พงสาลี, หัวพัน, บ่อแก้ว หลวงพระบางถือเป็นแขวงเอกที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่สุดแขวงหนึ่งของประเทศ เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน การเดินทางไปยังแขวงอื่นๆ ในภาคเหนือ จะต้องมาผ่านเมืองหลวงพระบางแทบทั้งสิ้น

หลวงพระบาง ประกอบไปด้วยเมืองบริวารทั้งหมด 12 เมือง คือ เมืองหลวงพระบาง, เมืองจอมเพชร, เมืองเชียงเงิน, เมืองนาน, เมืองปากอู, เมืองน้ำบาก, เมืองงอย, เมืองปากแซง, เมืองโพนไซ, เมืองเวียงคำ, เมืองพูคูน และเมืองโพนทอง

สภาพภูมิประเทศ: โอบล้อมด้วยหุบเขารอบด้าน มีความสูงประมาณ 1,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีแม่น้ำโขง, แม่น้ำคาน และแม่น้ำอู เป็นสายน้ำหลักไหลผ่าน

สภาพภูมิอากาศ: หลวงพระบางต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆ ของลาว เนื่องจากถูกขนาบล้อมด้วยหุบเขาล้อมด้าน ทำให้ค่อนข้างอับฝน ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ถูกเทือกเขาหลวงพระบาง ซึ่งกั้นพรมแดนไทย-ลาวยาวจากเพชรบูรณ์ถึงน่านสกัดไว้ ส่วนฝนจากอ่าวตังเกี๋ยก็ถูกเทือกเขาอันนำตรงพรมแดนลาว-เวียดนามกำบังอยู่เช่นกัน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตลอดปีของหลวงพระบางจึงมีเพียง 100 150 มิลลิเมตรเท่านั้น
เนื้อที่: 16,875 ตารางกิโลเมตร (6,516 ตารางไมล์)

ประชากร: หลวงพระบางมีประชากรประมาณ 408,800 คน ร้อยละ 40 เป็นลาวลุ่ม ร้อยละ 46 เป็นกลุ่มลาวเทิง และร้อยละ 14 เป็นลาวสูง ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 60,000 คน หลวงพระบางถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของความเจริญในภาคเหนือของประเทศลาวในทุกๆ ด้านเช่น

ด้านการศึกษา ถือเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของภาคเหนือ มีมหาวิทยาลัยแห่งชาติสุพานุวง, วิทยาลัยกฎหมายภาคเหนือ, วิทยาลัยการเงิน-การธนาคารเขตภาคเหนือ, โรงเรียนแพทย์และพยาบาล, วิทยาลัยครู, วิทยาลัยการช่าง (สารพัดช่าง) ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงพระบางทั้งสิ้น



ด้านท่องเที่ยว เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวของภาคเหนือ เนื่องจากเป็นเมืองมรดกโลก จึงทำให้หลวงพระบาง เป็นเมืองที่มีการเติบโตทางด้านธุรกิจการท่องเที่ยวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศลาว

ด้านการคมนาคมขนส่ง เป็นเมืองศูนย์กลางการคมนาคม และขนส่งที่สำคัญของภาคเหนือประเทศลาว


หลวงพระบางเมืองมรดกโลก

องค์การยูเนสโกประกาศให้เครดิตกับเมืองหลวงพระบางว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักรักษาที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Best Preserved City in South – East Asia) เมื่อครั้งที่มีการสำรวจเบื้องต้นในปีพ.ศ. 2533 – 2538 และได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชีรายชื่อ “เมืองมรดกโลก” (World Heritage Town) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2538 มีการจัดทำแผนให้เงินทุนสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ และองค์กรอิสระอื่นๆ หลายองค์กร จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541


หลวงพระบางเมืองที่อดีตยังอยู่กับปัจจุบัน

Marthe Bassene สตรีชาวฝรั่งเศสนางหนึ่งเคยเขียนถึงเมืองหลวงพระบางไว้ในนิตยสารเมื่อปี พ.ศ. 2452 ว่า "โอ้.. ประเทศนี้ปกป้องสรวงสวรรค์แห่งความสุขในอุดมคตินี้เอาไว้ได้อย่างไร จากกระแสโลก จากความก้าวหน้าและความทะเยอทะยานในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ! หลวงพระบางจะอยู่ในศตวรรษแห่งวิทยาการ, ผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างรวดเร็ว, ชัยชนะของเงิน, นักฝันคนสุดท้าย, คู่รักคู่สุดท้าย และจินตกวีคนสุดท้ายได้หรือ"?

กว่าหนึ่งศตวรรษผ่านไป หลวงพระบางยังคงสภาพอย่างที่มันควรจะเป็นเอาไว้ได้ เมื่อมีสถานะเป็นเมืองมรดกโลก อาคารบ้านเรือน และสิ่งก่อสร้างทุกอย่างถูกดูแลเป็นอย่างดีโดยห้องว่าการมรดกโลกประจำเมือง ไม่ว่าจะดำเนินการก่อสร้าง หรือซ่อมแซมอาคารใดๆ ก็ตามในเขตเมืองเก่าจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติแบบแปลนจากหน่วยงานนี้ก่อนเสมอ
อ่านเพิ่มเติม : http://www.louangprabang.net/


เช้าวันที่ 8 ธันวาคม เรานัดรถให้พาเราไปตักบาตรเช้า โดยเราเตรียมสิ่งของตักบาตรไปจากประเทศไทยแล้ว เป็นอาหารแห้ง ส่วนกล้วยและข้าวต้มผัด (สั่งโรงแรมไม่ทัน) เราไปซื้อเอาที่บริเวณที่นักท่องเที่ยวไปรอตักบาตรนั่นแหละ แต่ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า ราคาจะแพงไปหน่อย เราเคยมาที่นี่ครั้งก่อนเมื่อปี พ.ศ. 2550 เราสั่งให้เขาจัดมาให้ชุดละ 40 บาท แต่คราวนี้เราซื้อจากแม่ค้า ชุดละ 120 บาท ไม่มีข้าวเหนียวอีกต่างหาก ... แต่ก้ไม่ว่ากันครับ เราตั้งใจมาทำบุญอยู่แล้ว.



             

พระเณรออกบิณฑบาตรในตอนเช้า


"การตักบาตรเป็นประเพณีทางพุทธศาสนาของชาวหลวงพระบางและประเพณีนี้ได้กลายเป็นจุดดึงดูดสำหรับนักท่องเที่ยวทุกๆ คนที่มีโอกาสได้มาเยือนเมืองหลวงพระบางจนถือว่าเป็น Highlight สำคัญด้านการท่องเที่ยวไปโดยปริยาย อย่างไรก็ดีถ้านักท่องเที่ยวที่ไม่เข้าใจในวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ชาวหลวงพระบางปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา ก็อาจทำให้ประเพณีดังกล่าวเกิดความผิดเพี้ยนไปหรือมีการกระทำที่ไม่เหมาะสม จนอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียได้"

เตรียมตัวตักบาตรกัน


หลักการปฏิบัติในการเข้าร่วมพิธีตักบาตรตอนเช้า

1. ควรเฝ้าดูการตักบาตรด้วยความสำรวมและหากต้องการจะเข้าร่วมในพิธีการดังกล่าวจะต้องเกิดจากพื้นฐานของความศรัทธา และต้องปฏิบัติด้วยความเคารพอย่างแท้จริง

2. ควรซื้ออาหารจากแม่ค้าที่ขายอยู่ในตลาดตอนเช้าและหลีกเลี่ยงการซื้ออาหารจากแม่ค้าที่มาวางขายตามฟุตบาทหรือที่เดินหาบขายตามหลังพระสงฆ์ หรือสามเณรเนื่องจากเป็นการกีดขวางและรบกวน(คำแนะนำ: วิธีที่สะดวกและง่ายที่สุดหากท่านไม่ทราบแหล่งซื้อท่านสามารถสั่งเฮือนพัก/โรงแรม ทุกแห่งที่ท่านใช้บริการให้เค้าเป็นผู้จัดเตรียมข้าวเหนียวและกระติ๊บใส่ข้าวให้ท่านล่วงหน้า)

3. หากท่านต้องการเพียงแค่เฝ้าชม พิธีการตักบาตร กรุณาอยู่ในจุดที่เห็นว่าเหมาะสมนั่นก็คือ จะต้องไม่เป็นการยืนในตำแหน่งที่พระสงฆ์หรือสามเณรเดินผ่านหรือกีดขวางผู้อื่นที่ต้องการทำบุญ

4.ไม่ควรถ่ายภาพพระสงฆ์หรือสามเณรในระยะประชิดจนเกินไปและหลีกเลี่ยงการใช้แฟลชในการถ่ายภาพในทุกกรณี (คำแนะนำ: ควรปรับค่า ISO ที่กล้องให้สูงขึ้นหากค่าความไวชัตเตอร์ที่ได้ต่ำเกินไป หรือใช้ขาตั้งกล้องช่วยในการถ่ายภาพ

5. การเข้าร่วมในพิธีการตักบาตรจะต้องแต่งกายสุภาพ สุภาพบุรุษควรสวมกางเกงขายาวและ สุภาพสตรีควรสวมกระโปรงหรือสวมผ้าซิ่น เสื้อของสุภาพสตรีจะต้องไม่เป็นเสื้อแบบเปลือยไหล่, เกาะอกหรือสายเดี่ยวและห้ามสวมกางเกงขาสั้นมาเข้าร่วมพิธีโดยเด็ดขาด

6. พระสงฆ์และสามเณรเป็นบุคคลที่อยู่ในศีลในธรรม ดังนั้นห้ามถูกเนื้อต้องตัวโดยเด็ดขาด

7. ห้ามนำรถโดยสารขนาดใหญ่เข้ามาวิ่งในเขตมรดกโลก (นั่นคือในตัวเมืองหลวงพระบางทั้งหมด) เพราะเป็นการกีดขวางการจราจร หากท่านต้องการเข้าร่วมในพิธีกรุณามาก่อนเวลาที่พระสงฆ์ และสามเณรจะเริ่มออกบิณฑบาต (ประมาณ05.30 น.) กรุณาอย่าขับรถตามขบวนของพระสงฆ์และสามเณรเพราะการนั่งอยู่บนรถ อาจทำให้ท่านอยู่สูงกว่าพระสงฆ์และสามเณรซึ่งชาวลาวถือว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อพระสงฆ์และสามเณร


   

มีชาวบ้านเอามาขายด้วย

เสร็จจากการตักบาตรเช้า เราเข้าไปเดินดูชีวิตชาวหลวงพระบางในตลาดเช้า ซึ่งตลาดก็อยู่ใกล้ๆที่นักท่องเที่ยวไปตักบาตรเช้านั่นเอง ในตลาดที่นี่ก็คล้ายตลาดสดในต่างจังหวัดบ้านเรา แต่เน้นขายของกินประจำวัน พวกของสดต่างๆ เช่นปลาแม่น้ำโขงตัวใหญ่ๆ สดๆ ก็มีวางขาย รวมไปถึงสัตว์ป่าตัวเป็นๆมากมาย ที่เป็นไฮไลท์ของสินค้าที่วางขายในตลาดเช้า คือ "ไคแผ่น" หรือสาหร่ายน้ำจืดทำเป็นแผ่นแล้วตากแห้ง ซึ่งคนที่นี่นิยมทานกันมาก (คุณยายขายดอกไม้ที่ทางเข้าวัดเชียงทอง แกกินกับข้าวเหนียว) ... ถ้ายากรู้ว่าชาวบ้านที่นี่เขาอยู่กินกันอย่างไร ก็ให้มาดูที่นี่ได้เลยครับ


  
ซ้าย : ปิ้งกล้วยและจี่ข้าว                                                      ขวา : ไคแผ่น (ทาด้วยงา)  

  

ซ้าย : ปู                                                        ขวา : ปลาสดๆจาแม่น้ำ


ร้านกาแฟประชานิยมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทย (อยู่ปากซอยเข้าตลาดเช้า)


จากตลาดเช้าเราแวะไปชมวัดเก่าแก่ของที่นี่ ซึ่งถ้ามาหลวงพระบางแล้ว ไม่ได้มาไหว้พระที่วัดเชียงทอง ก็เหมือนกับว่า มาไม่ถึงเมืองหลวงพระบางเลยก็ว่าได้ .... วัดเชียงทองตั้งอยู่ติดแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นท่าเรือที่ะไปถ้ำติ่ง


วัดเชียงทอง


วัดเชียงทอง

เล่ากันว่าวัดนี้เป็นวัดเดียวที่ตอนรบกับฮ่อแล้วไม่โดนเผา สาเหตุก็มาจากว่า แม่ทัพของฮ่อเคยมาบวชที่นี่ แถมตอนยกทัพมาตีหลวงพระบาง ก็มาตั้งทัพที่นี่ด้วย ฉะนั้นความงดงามของวัดนี้จึงยังคงอยู่ครบถ้วน ใครที่มาเยือนเมืองหลวงพระบางถ้าไม่ได้มาชมความงามของวัดนี้ ถือว่ามาไม่ถึงเมืองหลวงพระบางเลยที่เดียว

วัดเชียงทอง ถือว่าเป็นตัวแทนศิลปะสกุลล้านช้างแห่งเดียวที่สมบูรณ์ที่สุด สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2102 – 2103 ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ลักษณะและสถาปัตยกรรมที่เห็นในปัจจุบัน ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ใน พ.ศ. 2471 และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรลาวได้ให้การอุปถัมภ์มากที่สุด ที่โดดเด่นที่สุดของวัด คือ สิม หรือ โบสถ์ ทั้งภายนอกและภายใน มีจิตรกรรมฝาผนังลายรดน้ำ ภายนอกเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ภายในเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน ผนังนี้ใช้วิธีการลงรักษ์ปิดทอง ที่ชาวลาวเรียกว่า “พอกคำ”    

กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาว เมื่อเดินทางมาถึงวัดนี้สิ่งแรกก็คือการไปชมพระอุโบสถหรือที่ภาษาลาวเรียกว่า “สิม” แม้ขนาดจะดูไม่ใหญ่โตแต่ก็แสดงถึงสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ ด้วยหลังคาพระอุโบสถที่แอ่นโค้งซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น ลดหลั่นเกือบจรดฐานจนแลดูค่อนข้างเตี้ย

 ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองซึ่งชาวลาวจะเรียกว่า “ช่อฟ้า” ประกอบด้วย 17 ช่อ อันมีความหมายว่าเป็น "สิม” (หรืออุโบสถ) ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้น ส่วน “สิม” ที่คนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้าเพียง 1-7 ช่อเท่านั้น 


เชื่อกันว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตรงกลางของช่อฟ้าเคยใช้เป็นที่เก็บของมีค่า ปัจจุบันเหลือเพียงช่องว่างเปล่าๆ ถัดมาที่ส่วนของหน้าบันมี “โหง่” รูปร่างคล้ายเศียรนาคเป็นส่วนประดับตามคติธรรมทางพุทธศาสนาเมื่อเดินเข้าต่อมาที่ประตูพระอุโบสถจะสะดุดตากับลวดลายแกะสลักอันสวยงามเช่นเดียวกับที่หน้าต่าง

“ที่จริงตรงกลางสันหลังคาสิมนั่นคือส่วนที่เรียกว่าช่อฟ้า ตามลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบลาว ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสิมที่แตกต่างจากช่อฟ้าของโบสถ์ในเมืองไทย ช่อฟ้าของลาวจะอยู่ที่ตำแหน่งนี้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสิมแบบไหนก็ตาม ส่วนตำแหน่งช่อฟ้าของไทย ลาวเรยกว่า โหง่ ครับ ช่อฟ้าลาวเป็นการจำลองจักรวาลตามคติของพุทธศาสนาครับ

รูปช่อฟ้าดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นภาพตัดของเขาพระสุเมรุและทิวเขาทั้ง 7 ซึ่งเป็นวงกลมล้อมรอบเขาพระสุเมรุที่อยู่สูงสุดตรงกลาง ทิวเขานี้มี 7 ชั้นเรียกว่าทิวเขาสัตตบริภัณฑ์หรือ สัตตะบูริพัน ในภาษาลาว เนื่องจากเป็นภาพตัดจึงเห็นด้านละ 7 ยอดเขาครับ ส่วนปลายทั้งสองด้านที่สูงใหญ่กว่ายอดเขาสัตตบริภัณฑ์นั้นเป็นกำแพงจักรวาลครับ ยอดเขาทั้งหมดมีปราสาทปรากฏอยู่แสดงว่าเป็นวิมานของเทพ

สังเกตดูให้ดีนะครับส่วนด้านล่างสุดของจักรวาลจะมีรูปปลาอานนท์รองรับอยู่ครับ”



ไหว้พระด้านในสิม


                   

ซ้าย : จิตรกรรมฝาผนังลายรดน้ำ                                    ขวา : วิหารแดง (ด้านในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์)


ด้านข้างวิหารแดง


   
ซ้าย : หอพระม่าน ขวา : โรงเมี้ยนโกศ


ส่วนวิหารด้านหลังพระอุโบสถคือ “หอพระม่าน” ภายในประดิษฐาน “พระม่าน” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ "พระบาง" จนหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นองค์เดียวกัน ในช่วงวันบุญขึ้นปีใหม่ของลาว (ช่วงวันสงกรานต์) จะมีการอัญเชิญ “พระม่าน” ลงมาเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำและกราบไหว้

ด้านหลังหอพระม่าน เป็นที่ตั้งของพระธาตุศรีสว่างวงศ์ ซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์และด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับรั้วเป็นโรงเก็บเรือใกล้กับริมแม่น้ำโขง

นอกจากนั้นในบริเวณวัดเชียงทองเมื่อท่านเดินเข้าไปทางด้านถนนโพธิสารราช ด้านขวามือจะต้องสะดุดตากับอาคารทรงโบราณมีลวดลายแกะสลักทาสีทองอร่ามขนาดใหญ่ซึ่งคนลาวเรียกว่า “โรงเมี้ยนโกศ” หรือเป็นโรงเก็บพระโกศ, พระราชรถ, ราชยานของเจ้าชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ. 2502 และได้สร้างโรงเมี้ยนโกศแห่งนี้ขึ้นในปีพ.ศ. 2505 ภายในมีลักษณะเป็นโถงกว้าง ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกเพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้ บริเวณกลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งของราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน มีพระโกศ 3 องค์ ตรงกลางเป็นโกศองค์ใหญ่



หลังจากที่ไหว้พระที่วัดเชียงทองแล้ว เราก็เดินทางต่อไปที่พิพิธภัณฑ์ หรือพระราชวังเก่า ที่เจ้ามหาชีวิตลาวเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ทางเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ (อยู่ตรงข้ามทางขึ้นวัดพระธาตุพูสี) เราจะเห็นอาคารคล้ายสิม หรือ โบสถ์ ตรงนั้นเรียกว่า "หอพระบาง" ครับ



หอพระบาง ใกล้ๆพิพิธภัณฑ์


หอพระบาง

ภายในหอพระนี้เองเป็นที่ประดิษฐาน พระบาง ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง พุทธลักษณะของพระบาง เป็นพระพุทธรูปปางประทับยืนปางประทานอภัย ทั้งสองพระหัตถ์ หรือปางห้ามสมุทร เป็นศิลปะสมัยขอมหลังบายน มีน้ำหนักประมาณ 54 กิโลกรัม ประกอบด้วยทองคำ 90 เปอร์เซ็นต์ และในหอพระนี้ยังมีพระพุทธนาคปรก สลักศิลาอีกสี่องค์และยังมีกลองโบราณอยู่ด้วย ... ปัจจุบันทางการไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านใน ทั้งหอพระบาง และพิพิธภัณฑ์ครับ
(อ่านเรื่องพระบางเพิ่มเติม)



พระบาง (ขอบคุณภาพจากเวบ)




กับต้นตาลอายุมากกว่าร้อยปี




อาคารพิพิธภัณฑ์ ข้างในห้ามถ่ายภาพ


พระราชวังหลวงพระบาง (พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง)

พระราชวังหลวงพระบาง เป็นอาคารแบบฝรั่งแต่หลังคาเป็นแบบทรงลาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง หันหน้าเข้าสู่พระธาตุพูสี ตัวพระราชวังเป็นหมู่อาคารเตี้ยๆชั้นเดียว ตั้งอยู่บนพื้นยกสูง มีความงดงามลงตัวของศิลปะยุคอาณานิคม ผสมกับศิลปะแบบล้านช้าง สภาพโดยรอบมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ไม่หนาจนเกินไป

ประวัติของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ สืบทอดต่อมาถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาว ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า “การปลดปล่อย” รัฐบาลลาวได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงมาเป็น “หอพิพิธภัณฑ์” ในปี พ.ศ. 2519 หลังจากที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว



ราชรถ ข้างหลังพิพิธภัณฑ์



ที่ตั้ง ถนนสักกะลิน ตรงข้ามทางขึ้นพระธาตุพูสี
เปิดให้เข้าชมทุกวันยกเว้นวันอังคาร

โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาคือ
ตอนเช้า 8.00 น. - 11.30 น.

ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคเช้าเวลา 11.00 น.

ตอนบ่าย 13.30 น. - 16.00 น.
ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคบ่ายเวลา 15.30น.

ค่าธรรมเนียมการเข้าชม 30.000 กีบ

วีนนี้เที่ยวกันมาพอสมควร และบล๊อกก็ยาวมากแล้ว ขอจบตอนนี้ไว้แค่นี้ก่อนครับ เรื่องราวในหลวงพระบางยังมีอีกโปรดติดตาม

ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ




วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

พิพิธภัณฑ์สิรินธร (ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว)


พิพิธภัณฑ์สิรินธร
(ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว) 

เสาร์ที่ 31 มกราคม มีโอกาสได้ไปเยี่ยม "พิพิธภัณฑ์สิรินธร" หรือ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว ที่อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ดินแดนน้ำดำ... หลังจากที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เปิดไปอย่างเป็นทางการเมื่อ 9 ธันวาคม 2551

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ค่อนข้างทันสมัย มีการบรรยายทั้งภาพและเสียงอัตโนมัติ ท่านสามารถเรียนรู้จากการบรรยาย และนิทัศน์การที่จัดไว้ได้อย่างดี รวมทั้งมีข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับทางธรณีวิทยามากมาย จากการกำเนิดของโลก เรื่อยไปถึงยุคต่างๆ ไปจนถึงการเกิดของมุษย์ตลอดจนการวิวัฒนาการต่างๆสิ่งมีชีวิตบนพื้นพิภพของเรา...



ป้ายนี้อยู่ทางเข้าที่ถนนใหญ่ 


ตามประวัติ ซากไดโนเสาร์ที่ภูกุ้มข้าว ต.โนนบุรี อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ โดยพระครูวิจิตรสหัสคุณ (พระญาณวิศาลเถร รองเจ้าคณะจังหวัดในปัจจุบัน) ต่อมาคณะสำรวจจากฝ่ายชีววิทยา กองธรณีวิทยา (ส่วนวิจัยซากดึกดำบรรพ์และพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา ซึ่งเป็นสำนักธรณีวิทยาในปัจจุบัน) ได้มาขุดสำรวจจนถึงเดือนตุลาคม ๒๕๓๘

พบกระดูกไดโนเสาร์กินพืชมากกว่า ๖ ตัว มีกระดูกมากกว่า ๖๓๐ ชิ้น ภายในเวลาเพียง ๓ เดือน ซึ่งซากไดโนเสาร์นั้นมีขนาดใหญ่มีน้ำหนักและมีจำนวนมาก ทางฝ่ายโบราณชีววิทยา จึงได้จัดตั้งโครงการพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติภูกุ้มข้าวขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๘



พิพิธภัณฑ์สิรินธร จากด้านหน้า


ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ – ๒๕๔๘ กรมทรัพยากรธรณีได้จัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ขึ้น เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการถาวร เพื่อบริการและเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชน และเป็นสถานที่ใช้ศึกษา ค้นคว้าของนักวิชาการจากทั่วโลก ที่มาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน

ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อพิพิธภัณฑ์นี้ว่า “พิพิธภัณฑ์สิรินธร” เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๙ ปัจจุบันกรมทรัพยากรธรณีได้ขุดค้นซากไดโนเสาร์พบกระดูกมากกว่า ๗๐๐ ชิ้น

เป็นกลุ่มของกระดูกส่วนขา สะโพก ซี่โครง คอ และหางของไดโนเสาร์กินพืชและกินเนื้ออีกอย่างละ ๒ ชนิด จากลักษณะของกระดูกพบว่า เป็นไดโนเสาร์กินพืชสกุลภูเวียง (Phuwiangosaurus Sirindhonae) ๑ ชนิด และเป็นไดโนเสาร์กินพืชชนิดใหม่อีก ๑ ชนิด คาดว่าอาจเป็นไดโนเสาร์สกุลและชนิดใหม่ของโลก


พิพิธภัณฑ์สิรินธร จากด้านข้าง


พิพิธภัณฑ์สิรินธร หรือพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว เป็นพิพิธภัณฑ์และศูนย์วิจัยเกี่ยวกับไดโนเสาร์ ที่สมบูรณ์แบบและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า "พิพิธภัณฑ์สิริธร" การจัดแสดงภายในอาคารแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่


ส่วนที่ 1 การกำเนิดโลก
ส่วนที่ 2 การกำเนิดของสิ่งมีชีวิตซึ่งรวมถึงไดโนเสาร์ จนถึงการกำเนิด มนุษย์
ส่วนที่ 3 เป็นนิทรรศการหมุนเวียน ปัจจุบันกำลังจัดแสดงนิทรรศการ “ซากดึกดำบรรพ์ปลาภูน้ำจั้น” ซึ่งเป็นซากปลาน้ำจืดโบราณพันธุ์ใหม่ของโลกซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มีชื่อว่า "เลปิโดเทส" มีความยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตรอยู่ในยุคมีโซโซอิก หรือ 65 ล้านปีที่แล้ว ช่วงเดียวกับไดโนเสาร์





ไดโนเสาร์คืออะไร?

ไดโนเสาร์เป็นสัตว์มหัศจรรย์ และประสบความสำเร็จมากสุดเท่าที่เคยมีมา บรรพบุรุษไดโนเสาร์ขนาดเท่าสุนัขมีวิวัฒนาการเป็นนักฆ่าขนาดยักษ์หนักพอๆกับช้าง พวกกินพืชที่ตัวยาวเท่ากับรถบัสหลายคัน และพวกตัวเล็กว่องไวขนาดเท่าไก่ ในช่วงขณะที่พวกมันครองแผ่นดิน ไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่กว่าแมวรอดชีวิต

ไดโนเสาร์พวกแรกปรากฏขึ้นเมื่อราว 230 ล้านปีก่อน และแพร่พันธุ์ครอบครองดินแดนนานถึง 165 ล้านปี จนถึง 65 ล้านปีที่แล้วพวกมันหายสาบสูญอย่างฉับพลัน และน่าประหลาดใจ เมื่อเทียบกับไดโนเสาร์แล้ว มนุษย์เราเพิ่งอาศัยอยู่บนโลกเพียง 100,000 ปีเท่านั้น.

ไดโนสาร์เป็นกลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ อาศัยอยู่บนพื้นดิน พวกมันมีลักษณะเหมือนสัตว์เลื้อยคลานในปัจจุบัน คือส่วนใหญ่ผิวหนังเป็นเกล็ด (บางพวกมีขนแบบนก) มีหางยาว มีฟัน และมีกรงเล็บที่นิ้วตีน ในขณะที่สัตว์เลื้อยคลานในปัจจุบันเดินด้วยขาที่กางออกข้างลำตัว ไดโนเสาร์กลับเดินตัวตั้งตรงบนขาเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ลักษณะนี้ทำให้มันคล่องแคล่วว่องไวบนพื้นดิน


 
ห้องโถงก่อนเข้าชม


พิพิธภัณฑ์สิรินธรมีทั้งหมด ๘ โซน ดังต่อไปนี้

โซนที่ ๑ จักวาลและโลก จักวาล โลก สิ่งมีชีวิตรวมทั้งไดโนเสาร์ถือกำเนิดขึ้นมานานแล้ว นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาเรื่องราวที่ลี้ลับนี้ นับจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่หรือ “บิ๊กแบง” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล การกำเนิดของดาวฤกษ์และพัฒนาการของระบบสุริยะและโลก สัณฐานธรณีต่าง ๆ บนโลกรวมทั้งหินต่าง ๆ บันทึกหลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญทางธรณีวิทยา ตลอดช่วงเวลา ๔,๖๐๐ ล้านปีที่ผ่านมาของโลก ซึ่งเราจะได้เรียนรู้ไปตามลำดับอายุทางธรณีวิทยา



ข้อมูลเกี่ยวกับโลก และพื้นพิภพ


โซนที่ ๒ เมื่อสิ่งมีชีวิตแรกปรากฏ ความอิ่มตัวในน้ำภายในชั้นบรรยากาศกลายเป็นฝน โดยน้ำฝนจะชะล้างเอาแร่ธาตุต่าง ๆ มารวมกันเป็นซุบข้นทางเคมี เมื่อราว ๓,๔๐๐ ล้านปีก่อน ได้มีการเกิดฟ้าผ่าลงไปยังซุบข้น ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตพวกสาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว โดยพวกมันได้เปลี่ยนแปลงบรรยากาศของโลก จากที่เคยไม่มีออกซิเจนมาเป็นอุดมด้วยออกซิเจนคล้ายกับพืชในปัจจุบัน


 

แสดงการเกิดภูเขาไฟ


โซนที่ ๓ มหายุคพาลีโอโซอิก แบ่งออกเป็นทั้งหมด ๖ สมัย คือ

ยุคแคมเบรียน
ยุคออร์โดวิเชียน
ยุคไซลูเรียน
ยุคดีโวเนียน
ยุคคาร์บอนิเฟอรัส
ยุคเพอร์เมีย


 

โครงกระดูกไดโนเสาร์


โซนที่ ๔ มหายุคมีโซโซอิค (mesozoic Era)

๔.๑ มหายุคแห่งสัตว์เลื้อยคลานและไดโนเสาร์ หลังการสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ตอนสิ้นสุด มหายุคพาลีโอโซอิก สัตว์เลื้อยคลานก็ก้าวขึ้นมาครองโลก ไดโนเสาร์ครองความยิ่งใหญ่บนแผ่นดินเป็นครั้งแรก และสภาพแวดล้อมบนโลกก็ทวีความหลากหลายกว่าครั้งใด ๆ

๔.๒ ไดโนเสาร์ไทย ไดโนเสาร์ที่พบในประเทศไทยมีอยู่ ๑๖ สายพันธุ์ โดยมีอยู่ ๕ สายพันธุ์ที่ไม่ซ้ำใครในโลก เรียงตามอายุได้ดังนี้
๑. ยุคไทรแอสสิก (Triassic Period) ได้แก่ อิสานโนซอรัส, อรรถวิภัชชิ
๒. ยุคจูแรสสิก (Jurasic Period) ได้แก่ สเตโกซอร์, ฮิบซิโลโฟดอน
๓. ยุคครีเทเชียส (Cretaceous Period) ได้แก่ ภูเวียงโกซอรัส สิรินทรเน, กินรีมิมัส, สยามโมซอรัส สุธีธรนิ, สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส, ชิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์กิ

จำลองสภาพความเป็นอยู่ของไดโนเสาร์ยุคต่างๆ


โซนที่ ๕ วิถีชีวิตของไดโนเสาร์ การจำแนกประเภทของไดโนเสาร์แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ “ซอริสเซียน” ไดโนเสาร์สะโพกแบบสัตว์เลื้อยคลาน แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ เทอโรพอด ไดโนเสาร์กินเนื้อ และเซอโรพอด ไดโนเสาร์กินพืช “ออร์นิธิเชียน” ไดโนเสาร์สะโพกแบบนก แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม คือ ไทรีโอโพแรน ไดโนเสาร์หุ้มเกราะ ออร์นิโธพอด ไดโนเสาร์ปากจะงอย และมาร์จิโนเซฟาเลียน ไดโนเสาร์หัวเกราะ



จำลองสภาพความเป็นอยู่ของไดโนเสาร์ยุคต่างๆ




ไข่ไดโนเสาร์จำลอง




โครงกระดูก ที่ห้องแสดงกลาง



โซนที่ ๖ คืนชีวิตให้ไดโนเสาร์ สิ้นมหายุคมีโซโซอิก เกิดการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ครั้งใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ต่างพากันสันนิษฐานสาเหตุเอาไว้ได้หลายสาเหตุ เช่น อุกกาบาตพุ่งชนโลก, ภูเขาไฟระเบิด, การคุกคามของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, และสนามแม่เหล็กโลกเปลี่ยนทิศทาง


ข้อมูลการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์

ประมาณ 75 ล้านปีก่อนเป็นยุคที่มีไดโนเสาร์มากที่สุด อีก 10 ล้านปีต่อมาไดโนเสาร์ทั้งหมดยกเว้นนกได้หายไปตลอดกาล ที่จริงแล้วบนบกไม่มีสัตว์ใหญ่กว่าสุนัขรอดชีวิต สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไปด้วยคือเทอโรซอร์และสัตว์ทะเลหลายชนิด

มีทฤษฎีไม่ต่ำกว่า 80 ทฤษฎีที่พยามอธิบายว่า ทำไมสิ่งมีชีวิตจำนวนมากจึงถูกลบหายไปจากผืนโลก ทฤษฎีส่วนใหญ่ไม่เป็นที่ยอมรับ เช่น ในปัจจุบันไม่มีใครเชื่อว่าไดโนเสาร์มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะผสมพันธุ์ได้

แต่จนทุกวันนี้ผู้เชี่ยวชาญยังโต้เถียงกันว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น อาจสรุปโดยใช้หลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์ได้ยากว่า การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เกิดเร็วแค่ไหน นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากคิดว่า เป็นหายนะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน เช่นมีดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางขนาดใหญ่พุ่งชนโลก..


 

การขุดค้น



ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 นักธรณีวิทยาค้นพบหลุมอุกาบาตชิกซูแลบ กว้าง 180 กม. (112 ไมล์) คาดว่าน่าจะเกิดจากดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางชนผิวโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ไดโนเสาร์หายไป การกระแทกอาจเป็นปรากฏการณ์เหนือความคาดหมาย เมฆหนาที่ก่อตัวจากหินและฝุ่นปกคลุมทั่วชั้นบรรยากาศบดบังแสงอาทิตย์ ไดโนเสาร์อาจตายในช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่มืดและหนาว ซึ่งเป็นผลกระทบจากการหายนะในครั้งนั้น







โซนที่ ๗ มหายุคชิโนโซอิก หรือมหายุคแห่งชีวิตยุคใหม่ ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ ๖๕ ล้านปี มาแล้วจนถึงปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ๒ ยุคคือ ยุคพาลีโอจีน และยุคนีโอจีน


ห้องเก็บรักษากระดูก (ฟอสซิล) ไดโนเสาร์



โครงกระดูก







ข้อมูลตามทางเดิน




ข้อมูลตามทางเดิน


โซนที่ ๘ เรื่องของมนุษย์ จาก “ไพรเมต” หรือสัตว์ในตระกูลลิง ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ซึ่งถือว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ได้แยกตัวเองออกจากเผ่าพันธุ์ลิงใหญ่ เมื่อประมาณ ๗ – ๖ ล้านปีที่แล้ว และเริ่มวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์ที่เดิน ๒ ขา และอาศัยบนพื้นดินแต่ความโดดเด่นของมนุษย์อยู่ที่พัฒนาการทางสมอง และภูมิปัญญาที่มีความฉลาดกว่าสัตว์ประเภทอื่น ซึ่งเปิดโอกาสให้เราสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ขวานหินไปจนถึงคอมพิวเตอร์




วิวัฒนาการของมนุษย์




ผ่านออกมา แล้วนั่งพักตรงนี้



รูปปั้นที่สวนไดโนเสาร์





ตรงบันไดทางออกมีรูปปั้นแอมโมไนต์ แอมโมไนต์เป็นสัตว์คล้ายหมึก อาศัยอยู่ในเปลือกที่ขดเป็นวง หนวดของมันยื่นออกมาจากปลายเปิดของเปลือกเพื่อจับเหยื่อ.


ออกจากพิพิธภัณฑ์จะมีร้านอาหารอยู่หน้าประตูทางเข้า รวมทั้งขายของที่ระลึกต่างๆ ท่านจะเดินหาอะไรทานแถวนั้นได้ หรือด้านล่างพิพิธภัณฑ์ก็จะมีร้านขายอาหารด้วย.

พอหายเหนื่อยก็ขับรถวนออกอีกด้านหนึ่ง ขึ้นเนินเขาเล็กน้อย เพื่อไปชมพิพิธภัณฑ์แหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว (Phu Kum Khao Dinosaur Site Museum) เป็นที่เราสามารถมองเห็นลักษณะของฟอสซิลที่อยู่ในหลุมที่ถูกขุดค้นขึ้นมา ในบริเวณหลุมขุดเขาจะคงเหลือระดับพื้นดินเดิมเพื่อให้เรามองเห็นว่า ในหลุมนั้นอยู่ลึกเพียงใด



หน้าพิพิธภัณฑ์การขุดค้น



หลุมขุดค้น


การเกิดซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์

กระดูกจะกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์เนื่องจากถูกทับถมอย่างรวดเร็วโดยพายุทะเลทรายหรือโคลนตะกอนจากก้นแม่น้ำก่อนที่จะผุพังหรือถูกทำลายไป เมื่อเวลาผ่านไปหลายล้านปี ทรายและโคลนจะกลายเป็นหิน น้ำที่ไหลซึมลงใต้ดินพาแร่ต่างๆไปสะสมในรูพรุนของกระดูกทำให้แข็ง แต่ถ้ากระดูกเหล่านี้ถูกน้ำหรือผู้ย่อยสลายทำให้กระจัดกระจายก่อนจะถูกฝัง ผู้เชี่ยวชาญจะประกอบกลับได้ยาก

สาเหตุที่เราเห็นซากดึกดำบรรพ์เพราะหินที่เก็บรักษากระดูกถูกดันขึ้นสู่ผิวโลกและเริ่มผุพัง นักวิทยาศาสตร์จึงค้นพบร่องรอยของสัตว์ดึดำบรรพ์



หลุมขุดค้น




กระดูกไดโนเสาร์




ประวัติการค้นพบ และการขุดค้น




การเดินทาง :

จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางมิตรภาพ ถึงอำเภอบ้านไผ่ เลี้ยวขวาเข้ามหาสารคาม ต่อไปที่กาฬสินธุ์ ออกจากกาฬสินธุ์เลี้ยวซ้ายไปอำเภอสหัสขันธ์ ก่อนเข้าตัวอำเภอ 2 กม. เลี้ยวขวาเข้าวัดสักกะวัน หรือทางขวามือจะเห็นตัวหนังสือขนาดยักษ์ "อุทยานไดโนเสาร์"

พิพิธภัณฑ์สิรินธร ตั้งอยู่ ณ ภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร. ๐๔๓-๘๗๑-๐๑๔, ๐๔๓-๘๗๑-๓๙๔ โทรสาร. ๐๔๓-๘๗๑-๐๑๔




ที่มา :
- เอกสารแผ่นพับของพิพิธภัณฑ์สิรินธร
- Nanmeebooks พาตลุยไดโนเสาร์ โดย David Lambert (วราวุธ สุธีธรแปล)