อัพบล๊อกวันนี้เป็นวันที่ 29 พย. 2562 ซึ่งเป็นการเดินทางเกือบจะสิ้นสุดทริปสแกนดิเนเวียแล้วครับ ซึ่งวันนี้เราจะพาท่านไปเที่ยวในกรุงสต๊อกโฮล์ม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศสวีเดน และเป็นเมืองที่มีพลเมืองมากและหนาแน่นที่สุดในแถบสแกนดิเนเวียครับ .... ความเดินคราวที่แล้ว หลังจากเราเที่ยวชมสถานที่ต่างในกรุงเฮลซิงกิแล้ว เราก็มาขึ้นเรือสำราญ Silja Line ซึ่งพาเราเดินทางข้ามทะเลบอลติกไปที่สวีเดน โดยมีเป้าหมายจะเข้าเทียบท่าที่กรุงสต๊อกโฮล์มในเวลา 9.30 น. ซึ่งการเดินทางก็สะดวกสะบายดีและมาถึงปลายทางตามกำหนดเวลาครับ (อ่านเรื่องในบล๊อก)
เรือสำราญไวกิ้งกำลังแล่นออกอ่าวที่สต๊อกโฮล์ม
อ่าวสต๊อกโฮล์ม สวีเดน
เช้านี้เรือเข้าเทียบท่าที่กรุงสต๊อกโฮล์มตามกำหนดการ เราตั้งนาฬิกาใหม่ให้ตรงกับท้องถิ่นที่สวีเดนซึ่งช้ากว่าที่ฟินแลนด์ 1 ชั่วโมง ... การเข้าประเทศก็ทำพิธีผ่านแดนเหมือนกับที่ผ่านมาล่ะครับ พอเรียบร้อยก็เดินเข้าไปรอไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นคนไทยที่ไปอยู่ที่สต๊อกโฮล์ม 27 ปีแล้ว เธอเ็นผู้หญิงชื่อคุณกุ้ง เห็นว่าบ้านเดิมอยู่ทางประจวบฯครับ เธอคล่องแคล่วแถมใส่มุขนิดๆเวลาเล่าเรื่องต่างๆให้พวกเราฟัง ซึ่งวันนี้เธอจะพาเราไปเที่ยว 2 แห่งด้วยกันคือที่พิพิธภัณฑ์เรือโบราณวาซาร์ (Vasa Museum) และ ศาลาว่าการกรุงสต๊อกโฮล์ม (Stockholm City Hall)
ไกด์เรา (ขออนุญาติลงภาพผ่านบล๊อกนะครับ)
เข้าท่าเรือที่สต๊อกโฮล์ม รอไกด์ท้องถิ่น
หลังเราขึ้นรถเรียบร้อยแล้วไกด์ก็บอกเราว่า "วันนี้เป็นหิมะแรกของปีที่สต๊อกโฮล์ม" ซึ่งขณะรถผ่านเราก็เห็นหิมะปกคลุมขาวไปหมดทั้งเมือง ซึ่งก็น่าจะใช่หิมะแรกอยู่เพราะสียังขาวบริสุทธิ ถ้าตกมาหลายวันจะออกคล้ำๆนิดๆครับ...มารู้จักประเทศสวีเดนและสต๊อกโฮล์มก่อนออกเที่ยวกันก่อนครับ
สวีเดน (Sweden) เป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่เหนือสุดของโลก มีขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย สวีเดนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ในทวีปยุโรป มีพื้นที่ 450,000 ตารางกิโลเมตร (ความกว้าง 500 กิโลเมตร และความยาว 1,600 กิโลเมตร) สวีเดนมีชายฝั่งที่ค่อนข้างยาว จรดทะเลบอลติกและอ่าวบอทเนีย ทางตะวันตกมีเทือกเขาสแกนดิเนเวีย ทอดตามแนวพรมแดนกับประเทศนอร์เวย์ ... สวีเดนแบ่งออกเป็นสามภาคหลักๆ ได้แก่ โยตตาลันด์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นที่ราบและมีป่าไม้ สเวียลันด์ เป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ และมีทะเลสาบจำนวนมาก และ นอร์ลันด์ เป็นภูมิภาคตอนเหนือของสวีเดน มีภูเขา ป่าไม้ และแร่ธาตุมาก ประมาณร้อยละสิบห้าของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศตั้งอยู่เหนือขึ้นไปจากอาร์กติกเซอร์เคิล ... สวีเดนมีประชากรทั้งสิ้น 10,073,500 คน (สำรวจในปี 2560) ใช้เงินโครน่าสวีเดน (Sweden Krona, SEK) อัตราแลกเปลี่ยนในวันที่อัพบล๊อก (11 กพ. 2563) คือ 3.23 บาท ต่อ 1 SEK.
ถึงแม้ว่าสวีเดนจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือมาก แต่กลับมีภูมิอากาศแบบอบอุ่น เนื่องจากอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม ทางตอนเหนือของอาร์กติกเซอร์เคิล พระอาทิตย์ไม่ตกดินเลยในบางช่วงของฤดูร้อน และแทบไม่สามารถเห็นได้ในฤดูหนาว สวีเดนจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน
ผ่านไป Vasa Museum
ส่วนที่เราจะเที่ยวชมในวันนี้คือกรุงสต๊อกโฮล์ม เมืองหลวงของสวีเดนครับ ....
สต็อกโฮล์ม (Stockholm) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศสวีเดน ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลทิศตะวันออกของประเทศสวีเดน มีประชากรในเขตเทศบาลสต็อกโฮล์ม 909,000 คน ถ้านับเขตที่อยู่อาศัยโดยรอบทั้งหมดจะมีประชากรประมาณ 2.2 ล้านคน ... สต็อกโฮล์มเป็นที่ตั้งของรัฐบาลสวีเดน และที่ประทับของสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันของสวีเดน
วันนี้เธอจะพาเราไปเที่ยว 2 แห่งด้วยกันคือที่พิพิธภัณฑ์เรือโบราณวาซาร์ (Vasa Museum) และ ศาลาว่าการกรุงสต๊อกโฮล์ม (Stockholm City Hall) ส่วนสถานที่เหลือจะเอามาลงให้ชมอีกในบล๊อกต่อไป ซึ่งเป็นบล๊อกปิดท้ายของทริปสแกนดิเนเวียครับ ... การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในสวีเดนต้องมีไกด์พาชมด้วยนะครับ
ในสต๊อกโฮล์ม ถ่ายจากในรถ
หน้าพิพิธภัณฑ์ยุโรปเหนือ
หลังจากรถรับเราที่ท่าเรือแล้วก็พาไปที่ พิพิธภัณฑ์เรือรบโบราณวาซาร์ (Vasa Museum) ซึ่งเป็นที่เก็บซากเรือรบโบราณที่ขุดขึ้นมาจากอ่าวสวีเดนครับ.... เรือวาซาร์ (หรือวอซาร์) ได้ล่มและอับปางลงในการเดินเรือครั้งแรกที่สต๊อคโฮล์มช่วงปี ค.ศ. 1628 หลังจากที่จมอยู่ใต้ทะเลมานานกว่า 333 ปี เรือรบที่ทรงอานุภาพลำนี้ก็ได้ถูกกู้ขึ้นมาและการเดินทางของมันก็ได้ดำเนินต่อไป ในปัจจุบัน เรือวาซาร์คือเรือในยุคศตวรรษที่ 17 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้และมีความงดงามมากที่สุดลำหนึ่งของโลก...ได้ที่พิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษในสต็อกโฮล์ม เรือวาซาร์คือทรัพย์สมบัติทางศิลปะอันเลอค่าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 98 เปอร์เซ็นต์ของเรือถูกสร้างขึ้นจากชิ้นส่วนดั้งเดิมและงานแกะสลักด้วยมือหลายร้อยชิ้น
พิพิธภัณฑ์วาซาร์เปิดทำการทุกวันตลอดทั้งปี ... พิพิธภัณฑ์วอซาจะรักษาอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 18-20°C เพื่ออนุรักษ์เรือไว้ ดังนั้นพิพิธภัณฑ์อาจจะมีอากาศเย็นเล็กน้อยเมื่ออากาศด้านนอกอุ่น คุณได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพและวิดีโอภายในพิพิธภัณฑ์ แต่สำหรับใช้เป็นการส่วนตัวเท่านั้น
(อ่านเพิ่มเติม)
พิพิธภัณฑ์วาซาร์เปิดทำการทุกวันตลอดทั้งปี ... พิพิธภัณฑ์วอซาจะรักษาอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 18-20°C เพื่ออนุรักษ์เรือไว้ ดังนั้นพิพิธภัณฑ์อาจจะมีอากาศเย็นเล็กน้อยเมื่ออากาศด้านนอกอุ่น คุณได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพและวิดีโอภายในพิพิธภัณฑ์ แต่สำหรับใช้เป็นการส่วนตัวเท่านั้น
(อ่านเพิ่มเติม)
VASA MUSEUM (พิพิธภัณฑ์เรือรบโบราณวาซาร์)
เรือรบโบราณที่ขุดขึ้นมาจากปากอ่าวสวีเดน
เกี่ยวกับเรือวาซ่าร์
เหตุใดจึงต้องสร้างเรือวาซ่าร์ขึ้น .... เรือวาซ่าร์ถูกสร้างขึ้นตามพระบัญชาของกษัตริย์กุสตาฟที่ II อดอล์ฟแห่งสวีเดน และสร้างขึ้นโดยช่างที่เป็นชายและหญิงประมาณ 400 คนที่อยู่ในสต็อกโฮล์มซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1626 เรือลำนี้เป็นเรือที่ทรงอานุภาพด้วยการติดตั้งเสาเรือถึงสามเสาพร้อมด้วยใบเรือสิบใบ ตัวเรือมีความสูง 52 เมตร ยาว 69 เมตรและหนักถึง 1200 ตัน พร้อมด้วยปืนใหญ่ 64 กระบอก เรือวอซาเคยเป็นเรือที่มีความสำคัญต่อกองเรือสวีเดน
การอับปางของเรือ
ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1628 มีการปล่อยเรือวาซ่าร์ออกจากท่าเรือใต้ปราสาท Tre Kronor ช่องเก็บปืนใหญ่ได้เปิดขึ้น ปืนใหญ่ทั้งหมดได้หันออกไปด้านนอกและยิงสลุตเพื่อเฉลิมฉลอง เรือลำมหึมาค่อยๆ ออกจากท่าเรืออย่างช้าๆ แต่หลังจากที่มีลมพัดแรงสองสามครั้ง เรือได้สูญเสียการทรงตัวและเริ่มเอียง น้ำเริ่มไหลทะลักเข้าท่วมในตัวเรือผ่านทางช่องเก็บปืนใหญ่ และทำให้เรือวาซ่าร์ล่มลง มีคนอยู่บนเรือประมาณ 150 คน และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 30 ราย นับเป็นเวลา 333 ปีก่อนที่เรือวาซ่าร์จะได้เห็นแสงสว่างของช่วงกลางวันอีกครั้งหนึ่ง
เหตุเรือวาซ่าร์ถึงล่ม
ในศตวรรษที่ 17 ผู้คนยังไม่ทราบเกี่ยวกับการคำนวณตามทฤษฎีที่จะช่วยทำให้เรือมีความมั่นคงไม่โคลงเคลง พวกเขาเพียงสร้างเรือตามประสบการณ์ที่เคยผ่านมา ในกรณีของเรือวาซาร์ มีการใช้นวัตกรรมทางเทคนิคโดยให้ปืนใหญ่ที่มีน้ำหนักมากอยู่บนดาดฟ้าปืนสองจุดซึ่งจำเป็นต้องมีการทดลองและตรวจสอบข้อผิดพลาด เรือวาซ่าร์มีน้ำหนักมากเกินไปเหนือระดับน้ำและไม่สามารถตั้งลำเรือให้ตรงได้เพื่อรักษาการทรงตัวของเรือ จึงทำให้เรือพลิกคว่ำเมื่อถูกลมพัด
บุคคลที่พบเรือลำนี้
แม้ว่าจะเป็นเด็ก แต่ Anders Franzén ก็มีความหลงใหลต่อซากเรือที่อับปางบริเวณหมู่เกาะของสต็อกโฮล์ม Franzén ใช้เวลาช่วงฤดูร้อนของปี 1954-1956 ด้วยการศึกษาข้อมูลจากเอกสารต่างๆ ในช่วงศตวรรษที่ 17 เพื่อค้นหาเรือวอซาโดยใช้เครื่องเกาะวัตถุรูปก้ามปูลากไปตามก้นทะเลจากเรือมอเตอร์ ในวันที่ 25 สิงหาคม เมื่อเขาและนักดำน้ำชื่อ Per Edvin Fälting กำลังค้นหาเรือ Beckholmen ที่อับปางลง เครื่องเกาะวัตถุได้เกี่ยวติดวัตถุขนาดใหญ่ทำจากไม้โอ้ค มีการค้นพบเรือวาซ่าร์แล้ว!
“ปริศนาที่ให้ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”
งานกู้ซากเรือได้เริ่มต้นขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1957 โดยนักดำน้ำได้ขุดอุโมงค์ข้างใต้ลำเรือเพื่อให้สามารถลากสายเคเบิลเข้าไปได้ ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1961 เรือลำนี้ได้โผล่พ้นน้ำขึ้นมา และถูกกู้ขึ้นมาโดยมีชิ้นส่วนที่ทำจากไม้ราว 14,000 ชิ้น ได้มีการเก็บรักษาตัวเรือและชิ้นส่วนทุกชิ้น จากนั้นจึงมีการนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบขึ้นเป็นตัวเรือใหม่ซึ่งเหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ขนาดมหึมา ... ในขณะนี้เรือวาซ่าร์ได้ถ่ายทอดความรู้ในยุคของมัน และยังคงมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องถึงวิธีการสงวนรักษาตัวเรือให้ดีที่สุดตั้งแต่ไม้ สลัก โครงเรือ ไปจนถึงเส้นใยผ้าต่างๆ วัตถุประสงค์: เพื่อให้เรือวาซ่าร์สามารถอยู่รอดไปถึงคนรุ่นใหม่ๆ ในอนาคต
เวลาเปิดให้เข้าชม : พิพิธภัณฑ์วอซาเปิดทำการทุกวันตลอดทั้งปี
มกราคม-พฤษภาคม และกันยายน-ธันวาคม 10.00-17.00 น., วันพุธ 10.00-20.00 น.
มิถุนายน-สิงหาคม 8.30-18.00 น.
24 และ 31 ธันวาคม 10.00-15.00 น.
25-26 ธันวาคม และ 1 มกราคม 10.00-17.00 น
ราคาค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่, SEK 150 เด็ก 0-18, SEK 0
(ที่มา : https://www.vasamuseet.se/th )
ภาพเรือวาซาร์จากวิกิพีเดีย
ซ้าย: ภาพด้านหน้าเรือ ขวา: ภาพตัดเรือที่ให้เห็นโครงสร้างด้านใน
เรือจำลองที่สร้างขึ้นมาใหม่ในพิพิธภัณฑ์
ภาพจำลองขณะเรือกำลังล่ม
กับเรือรบวาซาร์
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เรือรบวาซาร์ที่ติดกับพิพิธภัณฑ์ยุโรปเหนือ
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์
.....................
ออกจากพิพิธภัณฑ์เรือรบโบราณวาซ่าร์ เราไปทานมื้อกลางวันกัน จากนั้นก็เดินทางต่อเพื่อไปชมศาลาว่าการกรุงสต๊อคโฮล์ม สถานที่ๆจัดงานฉลองรางวัลโนเบลสาขาต่างๆยกเว้นสาขาสันติภาพที่ไปมอบกันที่กรุงออสโล ประเทศนอรเวย์ .... ศาลาว่าการที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสต็อคโฮล์ม ซึ่งศาลากลางแห่งนี้มีหลายชื่อเรียกด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Stadshuset ในภาษาสวีเดน หรือมีอีกชื่อที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวที่ชื่อว่า Stockholm City Hall
หน้า City hall Stockholm
ถนนหน้าศาลาว่าก่ารกรุงสต๊อกโฮล์ม
ด้านตรงข้ามกับศาลาว่าการกรุงสต๊อกโฮล์ม
ศาลาว่าการสต๊อกโฮล์ม (ขอบคุณภาพจากเวป)
ศาลาว่าการกรุงสต๊อคโฮล์ม
ก่อสร้างระหว่างปี 1911 และ 1923 ออกแบบโดยเรกนาร์ ออสต์เบิร์ก สถาปนิกชาวสวีเดนซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาคารที่มีความโดดเด่นที่สุดในสวีเดนที่ก่อสร้างด้วยสไตล์เนชันแนลโรแมนติก นอกจากนี้ เรกนาร์ ออสต์ ยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากปราสาทสไตล์เรอเนสซองต์ของอิตาลี จึงได้ออกแบบให้ศาลาว่าการแห่งนี้มีลานกลางเพิ่มเข้ามาสองลานคือบอร์การ์การ์เด้น และบลูฮอลล์
ห้องบลูฮอลล์
ทางขึ้นและทางเดินเชื่อมต่อห้อง
อาคารศาลาว่าการสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ทำงานของนักการเมืองและข้าราชการในกรุงสต๊อคโฮลม์ ในอดีต และยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ภายในอาคารยังมีห้องโถงสำหรับจัดพิธีการงานประชุมและงานสังสรรค์ต่างๆด้วย ก่อนหน้านี้สถาปนิกคนดังกล่าวต้องการทาสีผนังอฐิของบลูฮอลล์ใหเ้ป็นสีน้ำเงิน แต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อได้สัมผัสกับความงดงามของก้อนอิฐสีแดง แม้ว่าผนังจะยังคงมีสีแดง แต่เขาก็เรียกชื่อห้องโถงนี้ว่า “บลาฮาลเลน” (โถงสีน้ำเงิน) เนื่องจากชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของชาวสต๊อคโฮล์มไปแล้ว งานฉลองรางวัลโนเบลจะจัดขึ้นที่ห้องพิธีการที่ใหญ่ที่สุดของศาลาว่าการในวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี แต่งานพิธีมอบรางวัลจริงไม่ได้จัดขึ้นที่นี่ นอกเหนือจากนี้แล้วบลูฮอลล์ยังเป็นสถานที่จัดแสดงออร์แกนท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสแกนดิเนเวียอีกด้วย กล่าวคือเป็นออร์แกนที่ประกอบด้วยท่อมากถึง 10,000 ท่อ และมีสต็อปถึง 135 ตัว
ห้องประชุมสภาเมืองคือสถานที่จัดประชุมของสมาชกิสภาเมืองสต๊อคโฮล์ม 101 ท่าน ผู้เที่ยวชมสามารถเข้าไปชมการประชุมโดยสามารถเลือกนั่งบริเวณด้านหนึ่งของห้องประชุมได้ ทางด้านตรงข้ามจะเป็นห้องประชุมสำหรับนักข่าว ส่วนช่องภาพเขียนภายในเพดานทเต็มไปด้วยไม้คานนั้นออกแบบมาให้คล้ายกับบ้านทรงยาวของชาวไวกิ้ง เดอะวอลท์ออฟเดอะฮันเดรดจะอยู่ที่ด้านล่างของหอคอยสูง 106 เมตร บรเิวณเพดานประกอบไปด้วยช่องเก็บของเล็กๆ หนึ่งร้อยช่อง ซึ่งท่านจะเห็นโถงระฆังที่บอกเล่าเรื่องราวในตำนานนักบุญจอร์จและมังกรอยู่ตรงนั้นด้วย ในช่วงฤดูร้อนโครงสร้างจะหมนุตัวและตัวรูปปั้นจะปรากฏอยู่ด้านนอกของหอคอยเมื่อเสียงระฆังดังขึ้น และที่ผนังของเดอะวอลท์ออฟเดอะฮันเดรดท่านจะพบกับช่องขนาดใหญสำาหรับใช้ระบายอากาศ
ผนังในห้องรูปไข่ตกแต่งด้วยผ้าม่านที่ทอขึ้นมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในเมืองโบเวส์ ประเทศฝรั่งเศส และเพื่อเป็นการอนุรักษ์โบราณวัตถุเหล่านี้ จึงห้ามไม่ให้มีการใช้แฟลชถ่ายภาพในห้องนี้ ในวันเสาร์มักมีการจัดงานแต่งงานขึ้นที่นี่ จากปรินซ์แกลอรีท่านจะสามารถรับชมทิวทัศน์ของทะเลสาบมาลาเรน และชายฝั่งของสต๊อคโฮล์มได้ ส่วนอีกฟากหนึ่งของห้อง ท่านจะได้พบภาพแบบเดียวกันจากภาพวาดฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายยูเจน เสาสีดาทาจากหนิ ไดอะเบส ส่วนบริเวณช่องหน้าต่างที่หันเข้าหาผืนน้าจะมีประติมากรรมนูนรูปตัวละครชายหญิงจากตำนานคลาสสิค ของชาวนอร์ดิกอยู่ ภายในห้องทรีคราวน์แชมเบอร์ท่านจะได้สัมผัสกับความพลิ้วไหวของเส้นไหมและเส้นใยสีเงินที่งีดงามบนผนัง นอกจากนี้บนผนังด้าน้หนึ่งยังมีภาพวาดฝาผนังรูปทิวทัศน์ของกรุงสต็อคโฮล์มจากสมัยทศวรรษที่ 1790 ด้วย ส่วนฝั่งตรงข้ามมีตู้ไม ้โอ๊กที่บีรรจุรูปเหมือนของบุคคลสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ของสวีเดน
ผนังของโกลเด้นฮอลล์ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสคโดยฝีมือของเอย์นาร์ ฟอรเ์ซธ็เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของสวีเดนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 จนถึงช่วงทศวรรษที่ 1920 ภาพเหล่านั้นประดิษฐ์จากกระเบื้องโมเสคกว่า 18 ล้านชิ้นที่ทำจากแก้วและทองคำ “ราชนิแีห่งทะเลสาบมาลาเร็น” คือภาพจำลองของเมืองสต๊อคโฮล์ม โดยเป็นรูปสตรีนั่งอยู่บนบัลลังก์ ในบริเวณด้านข ้างท่านจะได้พบกับรูปปั้นและอาคารที่น่าสนใจอีกมายมายจากทั่วโลก งานเลี้ยงหลังงานฉลองรางวัลโนเบลจะจัดขึ้นที่โกลเด้นฮอลล์แห่งนี้
ที่มา : https://international.stockholm.se/globalassets/ovriga-bilder-och-filer/the-city-hall/thai.pdf
ที่มา : https://international.stockholm.se/globalassets/ovriga-bilder-och-filer/the-city-hall/thai.pdf
ด้านในศาลาว่าการกรุงสต๊อกโฮล์ม
ด้านหน้าศาลาว่าการกรุงสต๊อกโฮล์ม
ในกรุงสต๊อคโฮล์ม, สวีเดน
บล๊อกนี้เราพาท่านชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของสวีเดนไป 2 ที่ บล๊อกหน้าเราจะพาชมเมืองสต๊อคโฮล์มในเวลาต่างๆกัน และสถานที่ที่นักช้อปอยากไปเดินมากที่สุดของเมือง เพราะอยากให้ชมภาพสถานที่ต่างๆนั้นด้วยภาพที่น่าจะบรรยายบรรยากาศได้ดีกว่าตัวหนังสือนะครับ .... คอยติดตามนะครับ ...วันนี้ขอไปพักผ่อนที่โรงแรม Down Town Camper, Stockholm ก่อนละกันครับ
ลาด้วยวิวสต๊อคโฮล์มจากถนน Fjallgatan
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น