วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

เชียงคาน...ณ เลย



วันที่ 3-4 ธันวาคม 2559 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้เดินทางมาเยี่ยมเมืองเชียงคาน เมืองเล็กๆชายแดนไทย-ลาว ซึ่งเป็นเมืองที่น่ารักและยังคงไว้ซึ่งความเป็นเชียงคาน ที่เรียบง่าย และน่ามาเยือน โดยครั้งนี้เรามาแค่ระยะ 2 วัน 1 คืน เพื่อที่จะได้สัผัสทะเลหมอกจากภูทอก ซึ่งว่ากันว่าเป็นจุดชมทะเลหมอกที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทยเลย .... ตามมาเที่ยวเมือง เชียงคานกันเลยครับ


 ระเบียงริมโขงติดกับสวนเฉลิมพระเกียรติฯ


ไหนๆก็มาเที่ยวเชียงคานแล้ว มารู้จักประวัติอำเภอเล็ๆนี้หน่อยเป็นไร

ประวัติความเป็นมาเมืองเชียงคานเดิมตั้งอยู่ที่เมืองชะนะคาม ประเทศลาว ซึ่งสร้างโดยขุนคาน โอรสของขุนคัวแห่งอาณาจักรล้านช้าง เมื่อประมาณ พ.ศ. 1400 ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2250 อาณาจักรล้านช้างแยกออกเป็นสองอาณาจักรคือ อาณาจักรหลวงพระบาง ซึ่งมีพระเจ้ากีสราชเป็นกษัตริย์ และอาณาจักรเวียงจันทน์ ซึ่งมีพระเจ้าไชยองค์เว้เป็นกษัตริย์ โดยกำหนดอาณาเขตให้ดินแดนเหนือแม่น้ำเหืองขึ้นไปเป็นอาณาเขตหลวงพระบาง และใต้แม่น้ำเหืองลงมาเป็นอาณาเขตเวียงจันทน์ ต่อมาทางหลวงพระบางได้สร้างเมืองปากเหืองซึ่งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเป็นเมืองหน้าด่านและทางเวียงจันทน์ได้ตั้งเมืองเชียงคาน


 ถนนเลียบโขง (สะพานไม้และคอนกรีต)

เดิมเป็นเมืองหน้าด่านเช่นกัน ต่อมา พ.ศ. 2320 พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับพระสุรสีห์ ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์ ตีเวียงจันทน์ได้จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกต กลับมายังกรุงธนบุรี แล้วได้รวมอาณาจักรล้านช้างเข้าด้วยกันและให้เป็นประเทศราชของไทย และได้กวาดต้อนผู้คนพลเมืองมาอยู่เมืองปากเหืองมากขึ้น แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เมืองปากเหืองไปขึ้นกับเมืองพิชัย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ คิดกอบกู้เอกราชเพื่อแยกเป็นอิสระจากไทยโดยยกกำลังจากเวียงจันทน์มายึดเมืองนครราชสีมา แต่ในที่สุดเจ้าอนุวงค์ถูกจับขังจนสิ้นชีวิต กองทัพไทยที่ยกมาปราบเจ้าอนุวงศ์ที่นครราชสีมาได้ยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงมายังเมืองปากเหืองมากขึ้น และโปรดเกล้าฯ ให้พระอนุพินาศ (กิ่ง ต้นสกุลเครือทองศรี) เป็นเจ้าเมืองปากเหืองคนแรก แล้วพระราชทานชื่อเมืองใหม่ว่าเมืองเชียงคาน ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกจีนฮ่อได้ยกทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงพระบางและได้เข้าปล้นสะดมเมืองเชียงคานเดิมที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ชาวเชียงคานเดิมจึงอพยพผู้คนไปอยู่เมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) เป็นจำนวนมาก



 ถนนชายโขง หรือ ถนนคนเดิน

ครั้งต่อมา เห็นว่าชัยภูมิเมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) ไม่เหมาะสม ผู้คนส่วนใหญ่จึงอพยพไปอยู่ที่บ้านท่านาจันทร์ซึ่งใกล้กับที่ตั้งของอำเภอเชียงคานปัจจุบัน แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองใหม่เชียงคาน ต่อมาไทยได้เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส ทำให้เมืองปากเหืองตกเป็นของฝรั่งเศส คนไทยที่อยู่เมืองปากเหืองจึงอพยพมาอยู่เมืองใหม่เชียงคานหรืออำเภอเชียงคานปัจจุบันโดยสิ้นเชิง แล้วได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองเชียงคานใหม่ ได้ตั้งที่ทำการอยู่บริเวณวัดธาตุ เรียกว่าศาลาเมืองเชียงคาน ต่อมาได้ย้ายไปอยู่บริเวณวัดโพนชัย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2452 เมืองเชียงคานซึ่งมีพระยาศรีอรรคฮาด (ทองดี ศรีประเสริฐ) ได้รับตำแหน่งนายอำเภอเชียงคานคนแรก ต่อมาปี 2484 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอเชียงคานมาอยู่ ณ ที่อยู่ปัจจุบันตราบเท่าทุกวันนี้

ที่มา : วิกิพีเดีย






เชียงคานมีถนนคนเดินคือถนนชายโขง ที่ยังคงอนุรักษณ์ตึกไม้เก่าๆไว้สองข้างทางเดิน ยามเย็นถึงดึกจะมีพ่อค้าแม่ค้าออกมาขายของกิน ของที่ระลึกกันจนกลายเป็นถยนนคนเดินในปัจจุบัน ที่พักประเภทโฮมสเตย์ และโรงแรมเล็กๆมีขึ้นรอบๆถนนนั้นมากมายครับ นอกนั้นยังมีวัดเก่าแก่ชื่อวัดศรีคุณเมืองให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้ขอพรอีกด้วย ปลายสุดถนนคนเดินทางตะวันออกติดกับริมแม่น้ำโขง จะมีสวนสาธารณะชื่อสวน "สวนเฉลิมพระเกียรติ ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี" บรรยากาศร่มรื่นริมโขง มีจุดให้ถ่ายภาพมากมาย และมองฝั่งลาวได้ชัดเจนครับ .... จากตรงนั้นท่านสามารถเดินเลียบริมโขงไปทางตะวันตกโดยสะพานไม้และถนนคอนกรีต ยามเย็นจะเห็นพระอาทิตย์กำลังค่อยๆลับเลี่ยมเขาและหายไปในแม่น้ำโขงได้ ถ้าเหนื่อยนักก็แวะร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายอยู่ติดถนนนั้นได้ ... ฉะนั้นกิจกรรมแรกที่มาเมืองเชียงคานคือเดินเที่ยวที่ถนนคนเดินนี่แหละ ส่วนยามเช้าตรู่ ถ้าใครมีเวลาว่าก็มาใส่บาตรแถวๆถนนคนเดินกัน .... แต่เรามาเที่ยวนี้ในยามเช้าเลือกที่จะไปชมทะเลหมอกที่ภูทอกกันครับ


 เข้าคิวขึ้นภูทอกโดยรถ อบต.

ภูทอก จุดชมวิวทะเลหมอกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ที่มาเที่ยวเชียงคาน มีลักษณะเป็นภูเขาสูง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง บนยอดภูเป็นที่ตั้งของสถานีโทรคมนาคมเชียงคาน และเป็นจุดชมวิวทิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ของอำเภอเชียงคาน และลำน้ำโขงได้โดยรอบ  ตั้งอยู่บนถนนสายเดียวกันกับแก่งคุดคู้ซึ่งห่างจาก ตัวอำเภอ เชียงคานประมาณ 3 กิโลเมตร ใครที่ได้แวะมาเที่ยวเชียงคาน ไม่ควรพลาดการไปชมทะเลหมอกในยามเช้าที่นี่  นอกจากนี้ภูทอกยังเป็นจุดชมวิวชมความงามของแม่น้ำโขง เมืองสานะคาม และแก่งคุดคู้ได้อย่างชัดเจนด้วย

เนื่องจากนักท่องเที่ยวมากันมาก และถนนแคบ คดเคี้ยว จึงไม่อนุญาตให้นำรถขึ้นไปเอง การขึ้นภูทอกจึงต้องซื้อบัตร 25 บาท เพื่อนั่งรถ 2 แถวที่จัดโดย อบต. ไปที่จุดชมวิวครับ ค่าโดยสารนี้ใช้ได้ทั้งไปและกลับ โดยขึ้นคันไหนก็ได้ 


 ทะเลหมอกยามเช้าที่ภูทอก


เช้าวันที่ 4 ธันวาคม 2559 พอเราขึ้นไปถึงยอดภูทอกแล้ว ก็ไม่ผิดหวังครับ ได้ชมทะเลหมอกสมใจ ทะเลหมอกที่มองจากยอดภูทอกแบบ 360 องศาวันนั้นเป็นทะเลหรือมหาสมุทรหมอกจริงๆ เพราะกินอาณาบริเวณสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว แต่นักท่องเที่ยวก็มามหาศาลเหมือนกัน จนบริเวณทางเดินเนืองแน่นไปหมด .... เราปล่อยให้ชมบรรยากาศไปเลยนะครับ














 มองไปทาง อ.เชียงคาน










หลังจากชมทะเลหมอกจนอิ่มกันทุกคนแล้ว เราลงมาหาอะไรทานในเมือง ก่อนจะเดินทางไปไหว้พระใหญ่กัน


พระใหญ่ภูคกงิ้ว  เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์ ตั้งอยู่ที่ภูคกงิ้ว บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม ประดิษฐานอยู่บนเนินเขาบริเวณปากลำน้ำเหืองจรดกับแม่น้ำโขง เป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทาน พร หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมเรซิ่นสีทองทั้งองค์ สูง 19 เมตร ตัวฐานกว้าง 7.2 เมตร สร้างขึ้นโดยกองทัพภาคที่ 2 และประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรม ราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 6 รอบ และในมหา มงคลแห่งราชพิธีราชาภิเษก ครบ 50 ปี


 สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเหืองมาบรรจบแม่โขงที่ไหลมาจากประเทศลาว

พระใหญ่ภูคกงิ้ว ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นผืนดินแห่งแรกของอีสานที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน โดยมี "แม่น้ำเหือง" แม่น้ำอีก สายที่เป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่าง สปป.ลาว กับไทย ซึ่งตรงบริเวณที่แม่น้ำเหืองไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง นั้นจะเห็นเป็นแม่น้ำสอง สี ที่มีสีเข้ม-อ่อนต่างกันอย่างชัดเจน สามารถมองเห็นทัศนียภาพของแม่น้ำโขงในมุมสูง เป็นจุดที่มีความสวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ ถ้าหากมีโอกาสไปเที่ยวที่อำเภอเชียงคานแล้วอย่าลืมแวะ มาสักการะพระใหญ่ภูคกงิ้วเพื่อความเป็นสิริมงคล



 พระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์ (พระใหญ่ภูคกงิ้ว)


การเดินทางไปไหว้พระใหญ่ : จากตลาดเชียงคานผ่านสามแยกเชียงคานแล้วตรงเข้าทางหลวงหมายเลข 2195 ไปทาง อ.ท่าลี่ประมาณ 20 กม. ถึงบ้านท่าดีหมี แล้วให้เลี้ยวขวาบริเวณ ร.ร.บ้านท่าดีหมี เข้าไปประมาณ 2 กม. ถึงองค์พระพุทธรูป ...ไม่มีรถโดยสารวิ่งผ่าน หากต้องการมาที่นี่ต้องเช่าเหมารถจากตัวเมืองเชียงคานมา หรือไม่ก็ขับมาเองครับ


ลากันด้วยภาพพระใหญ่ภาพนี้ครับ





ไม่มีความคิดเห็น: