วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ขับรถเที่ยวอังกฤษในหน้าหนาว 2 .... พาชมปราสาทเอดินเบิร์ก





บล๊อกนี้ไม่ได้พาทัวร์เอดินเบิร์ก หรือ เอดินบะระมากนักนะครับ เพราะมีเวลาน้อย แต่ถ้าหากคุณๆสนใจชมภาพและอ่านบล๊อกฉบับสมบูรณ์กว่านี้ ก็ตามอ่านได้ตามลิงค์ด้านบนที่ผมเคยเขียนไว้ เมื่อคราวที่ไปเที่ยวเมืองนี้ในหน้าร้อนช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2016 นะครับ.


👉เช้าวันที่ 4 ธันวาคม 2017 เราออกจากเมืองนิวคาสเซิ่ล เดินทางขึ้นเหนือสู่เมืองสวยงามและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน สู้รบปรบมือกับอังกฤษก็หลายครั้ง จนในที่สุดก็ตกอยู่ภายใต้ฟ้าเดียวกันกับอังกฤษ และแปลเปลี่ยนมาเป็นสหราชอาณาจักร หรือ United Kingdom ในปัจจุบัน ... สก๊อตแลนด์คือดินแดนที่ตั้งของกรุงเอดินเบิร์ก เมืองหลวงของสก๊อตแลนด์ ที่เป็นศูนกลางการค้า การบริหาร แต่ปปัจจุบันเมืองเศรษฐกิจและการจัดการ เช่นด้านวิศวกรรม การเงิน ท่าเรือ พาณิชย์ จะเข้ามาอยู่ที่กลาสโกว์ซึ่งใหญ่ในเกาะอังกฤษ ซึ่งเป็นรองแค่กลอนดอนเท่านั้น ... แต่เอดินเบิร์กก็ยังคงมีสเน่ห์และมนต์ขลังอยู่อย่างไม่สร่างซา เพราะเมื่อเราพูดถึงสก๊อตแลนดืแล้ว นอกจาผู้ชายเป่าปี่และใส่กระโปงลายสก๊อต ก็นี่แหละเมืองเอดินเบิร์ก และที่เอดินเบิร์กก็นี่เช่นกันยังมี "ปราสาทเอดินเบิร์ก" หรือ Edinburgh Castle. ที่นับว่าสวยงามมาก ซึ่งวันนี้เราจะพาไปชมปราสในหน้าหนาวกันครับ



Balmoral Hotel Clock Tower

เราขับรถฝ่าอากาศที่หนาวเย็นในเดือนธันวาคม 2017 มาเกือบ 200 กม. เลียบมหาสมุทแอตแลนติคทางด้านตะวันออกของเกาะอังกฤษขึ้นไป พอถึงเมืองก็จำที่จอดข้างสวนสาธารณะเดิมไม่ได้เสียแล้ว เลยก็ต้องอาศัย GPS หาที่จอดรถ ได้ Park & Ride นอกเมือง ไกลพอควร ต้องนั่งรถบัสเข้ามเมืองมาประมาณเกือบ 40 นาที คนขับรถถามเราว่าจะซื้อตั๋วแบบวันหรือแบบเที่ยวเดียว เราก็เอาแบบวัน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 4 ปอนด์ครับใช้ได้กับรถทุกสายตลอดวัน (24 ชั่วโมง) ที่เมืองนี้ ... ถือว่านั่งรถเมล์ชมเมืองก็แล้วกันครับ ตลอดเส้นทางที่รถวิ่งผ่านวิวสวยงามมาก ทั้งเลียบทะเล ขึ่นเขา มองเห็นสถานที่สำคัญๆหลายแห่ง ในที่สุดเราก็มาถึง City Center หรือ หน้าสถานีรถไฟเอดินเบิร์ก

ลงรถแล้วว่าจะพาคุณภรรยาไปนั่งเจ้ารถ City Sightseeing ซึ่งมีหลายบริษัท ซึ่งใช้เส้นทางที่ต่างกัน ส่วนมากก็ผ่านสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเราสามารถลงเที่ยวชมและขึ้นคันใหม่ต่อไปได้ ซึ่งฝรั่งเรียกว่า Hop On  - Hop off ครับ แต่เมื่อมาดูเวลาแล้วสงสัยจะไม่ทัน เลยเลือกเดินชมงานคริสมาสที่สวน Princes Street Gardens ก่อนเดินขึ้นสู่ถนน Royal Mile ย่านเมืองเก่า และเข้าชมปราสาท

 ยอดแหลมสีทึมๆนั่นคือ Scott Monument อยู่ใกล้สถานีรถไฟเอดินบะระ


ที่สวน Princes Street Gardens กำลังมีงานเทศกาลคริตมาส





การเข้าชมปราสาทเอดินเบิร์ก จะต้องซื้อตั๋วเข้าชมนะครับ ราคาอยู่ที่ 16 ปอนด์ สำหรับผู้ใหญ่ และ 9.6 ปอนด์ สำหรับเด็ก (แพงนะผู้เขียนว่า..บ้านเราเขาจ่าย 200 บาทยังบ่นอุ๊บเลย)
 เวลาเปิด-ปิด คือ 9.30 - 18.00 น. (ต.ค.-มี.ค. เปิดถึง 17.00 น. ควรเข้าก่อนปราสาทปิด 1 ชั่วโมง) ... วันนี้เราไปถึงช่วงที่จะมีการยิงสะลุตจากปืนใหญ่บนปราสาทพอดี คือช่วง 11.00 น. เลยไปแห่ดูกับฝรั่งหน่อย แต่ที่ชอบมากคือวงทหารเป่าปี่สก๊อตหน้าทางเข้าปราสาทครับ

ปราสาทพวกฝรั่งมักจะตั้งอยู่บนที่สูง เช่นภูเขา นัยว่าป้องกันศัตรูที่เข้ามารุกราณได้ดี (เพราะเมื่อก่อนสู้กันด้วยดาบ หอก ธนู ... แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีมันเจริญ ขืนอยู่ที่สูงก็ตายเรียบ จึงพัฒนามาอยูในอุปโมงค์หรือหลุมหลบภัย เช่นหลายๆประเทศสร้างไว้) ... เมื่อเราอยู่บนบริเวณปราสาทจึงมองเห็นทิวทัศน์รอบได้ชัดเจนมาก การยิงสะลุดปืนใหญ่ก็เพื่อว่าให้เรือที่อยู่ในทะเลได้ยินประมาณนั้น

เมื่อซื้อบัตร (เข้าคิวยาวมาก หนาวก็หนาว) แล้วเราจะได้แผนที่การชมปราสาทมาด้วย เดินผ่านประตูเข้าไปจะมีที่ให้เช้าหูฟังและกดตามจุดต่างๆ (ถ้าเคยไปชมพระราชวังดอยตุง นั่นแหละเหมือนกันเลย) แต่ผู้เขียนเคยมาแล้วเลยพอรู้บ้างว่า แต่ละที่นั่นคืออะไร หลักๆก็มีห้องขังนักโทษ พิพิธภัณฑ์ ห้องรับรองหรือ Great Hall เป็นต้น (เข้าไปอ่าน)


ปราสาทเอดินบะระมองจากด้านล่าง


ด้านหน้าทางเข้าปราสาท


ปราสาทแห่งเอดินเบิร์ก (Edinburgh Castle)

ปราสาทแห่งเอดินเบิร์ก (Edinburgh Castle) เป็นปราสาทที่งดงามและเป็นสถานที่เก็บรักษามหามงกุฎแห่งราชวงศ์ เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์สก็อต เคยถูกทำลายลงหลายครั้งแต่ทุกครั้งก็ได้รับการบูรณะและสร้างใหม่ให้กลับคืนสู่ความสง่างามดังเดิม และยังถือว่าเป็นจุดชมเมืองเอดินเบิร์กได้เป็นอย่างดีเนื่องจากเป็นเนินเขาสูง มองเห็นเด่นเป็นสง่าจากทุกมุมเมือง และยังได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองเอเธนส์แห่งทิศเหนือเนื่องจากสถาปัตยกรรมการก่อสร้างที่คล้ายคลึงกับวิหารแพนธีออนในประเทศกรีซ

ปราสาทเอดินเบิร์กตั้งอยู่บนเขาหินภูเขาไฟที่ปะทุขึ้นเมื่อประมาณ 350 ล้านปีที่ผ่านมา บนแผ่นหินที่เรียกว่า Castle Rock ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเอดินเบิร์ก จากประวัติปราสาทสร้างขึ้นโดยเดวิด ที่ 1 เมือ่ศตวรรษที่ 12 และใช้เป็นที่พำนักของราชวงศ์มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 1633 ... ปราสาทเอดินเบิร์กถูกยึดครองโดยราชวงศ์อังกฤษและเปลี่ยนเป็นราชวงศ์สก๊อตหลายครั้ง จนในที่สุดก็ถูกอังกฤษยึดครอง .... ในปลายศตวรรษที่ 18 ปราสาทได้ถูใช้เป็นที่คุมขังนักโทษทางทหารจากสงครามต่างๆในอังกฤษ จนกระทั่งปี 1814 ปราสาทแห่งนี้ได้กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติไป ... ในปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ปราสาทได้รับการบูรณเรื่อยมา และในปี 1927 บางส่วนของปราสาทก็ได้ปรับให้เป็น Scottish National War Memorial.



เดินอ้อมขึ้นปราสาท




ริมหน้าผาจะมีกำแพงสามารถยืนชมวิวเมืองที่สวยงามได้




กับปืนใหญ่บนกำแพงปราสาท


ด้านหน้าจากทางขึ้น


หน้าพิพิธภัณฑ์ปราสาทเอดินบะระ


เข้าชมปราสาทภายใน



ด้านในปราสาท


อาเธอร์ซีท (Arthur's Seat)



Arthur's seat (อาร์เธอร์ ซีท)

เป็นจุดสูงสุดและกว้างที่สุดจาก 3 ส่วนของภูเขาไฟอาร์เธอร์ซีท (Arthur'seat Vocano) ซึ่งจุดสูงสุดประมาณ 251 เมตร หรือ 822 ฟุตจากระดับน้ำทะเล อาร์เธอซีทอยู่ห่างจากปราสาทเอดินเบิร์กไปทางตะวันออกประมาณ 1ไมล์ ซึ่งอยู่กลางเมืองเอดินเบิร์กเช่นกัน ด้านบนนั้นนับว่าเป็นจุดชมวิวเมืองเอดินเบิร์ที่ดีที่สุดจุดหนึ่งครับ ส่วนการเดินขึ้นเขานั้นนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นได้จากทุกทาง แต่ที่นิยมมากที่สุดคือขึ้นจากทางทิศตะวันออกหรือทาง Holyrood Park เพราะไม่ชันนัก



วิวเอดินบะระอีกมุมจากปราสาท



EDINBURGH

เอดินเบิร์ก หรือ เอดินบะระ (ขอเรียกเอดินเบิร์ก)  เป็นเมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของสก๊อตแลนด์ เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยกลาง ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงอยู่กลางเมือง เป็นที่ตั้งของปราสาทเอดินเบิร์กอันเป็นทำเลที่ได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในสมัยก่อน โดยรอบภูเขาถูกปรับพื้นที่เป็นคูเมืองเพื่อประโยชน์ในเชิงการทหาร รอบนอกเป็นที่ราบลดหลั่นเป็นขั้น ๆ กระจายออกโดยรอบ

เอดินเบิร์กเป็นที่ตั้งของรัฐสภาแห่งใหม่ของสกอตแลนด์ (เพิ่งแยกออกมาจากรัฐสภาของสหราชอาณาจักร) ตั้งอยู่บนถนนสายหลักของเอดินเบิร์กคือ รอยัลไมล์ (The Royal Mile) ซึ่งสร้างตามแนวสันเขาเชื่อมโยงพื้นที่ประวัติศาสตร์ระหว่างปราสาทเอดินบะระและพระราชวัง สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ บริเวณรอยัลไมล์ ปราสาทเอดินเบิร์ก และสวนพฤกษศาสตร์ โดยเฉพาะปราสาทเอดินเบิร์กเป็นปราสาทที่เป็นสถานที่เปิดตัวของหนังสือเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงฉากเมืองแม่มดในท้องเรื่อง

เอดินเบิร์กเป็นเมืองที่เจริญมากที่สุดเมืองหนึ่งในสหราชอาณาจักร มีศูนย์กลางเมืองตั้งอยู่รอบ ๆ ปราสาทเอดินเบิร์ก เมืองเอดินเบิร์กนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเทศกาลต่าง ๆ ตัวอย่างงานสำคัญที่ถูกจัดขึ้นในเมืองเอดินเบิร์ก ได้แก่ เทศกาลศิลปะนานาชาติ Fringe ภาพยนตร์ วิทยาศาสตร์ งานหนังสือเด็ก เพลงแจ๊ส และเพลงพื้นบ้าน ในช่วงเทศกาลเหล่านี้ โดยเฉพาะช่วงเดือนสิงหาคมหรือช่วงหน้าร้อนของสหราชอาณาจักร ที่เมืองเอดินเบิร์กจะมีจัดงานเทศกาลประจำปีที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมาที่เมืองนี้เป็นจำนวนมาก จนทำให้เมืองเอดินเบิร์กติดอันดับเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับสองของสหราชอาณาจักรรองจากลอนดอน

นอกจากนั้น เมืองเอดินเบิร์กยังเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองที่เป็นมิตรกับเด็ก" (The Child Friendly City) เนื่องจากภายในเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับเด็กมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์วัยเด็กและเรื่องเล่าของผู้คน (Museum of Childhood and People’s Story) สวนสัตว์ที่มีศูนย์การศึกษาที่เคลื่อนไหวได้จริง (Dynamic Education Centre) โลกแห่งผีเสื้อและแมลง (Butterfly & Insect World) และโลกทะเลลึก (Deep Sea World) เป็นต้น

ในแง่ของเศรษฐศาสตร์ เมืองเอดินเบิร์กเป็นเมืองศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหราชอาณาจักรรองจากลอนดอนและใหญ่เป็นอันดับห้าของยุโรป โดยมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ถึงสามแห่งด้วยกันคือ มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก มหาวิทยาลัยแฮเรียต-วัตต์ และมหาวิทยาลัยเนเปียร์


ภาพจากปราสาทเอดินเบิร์ก


ตู้โทรศัพท์ภายในปราสาท


เราชมปราสาทนานพอควร (เอาให้คุ้มเงิน 16 ปอนด์) ก่อนเดินกลับลงไปที่สวน Prince Street Garden .... เจ้าสวนนี้จะอยู่ตรงหุบเขาระหว่างเมืองใหม่-เก่า ตรงจุดต่ำสุดจะเป็นสถานีรถไฟเอดินเบิร์ก มีสะพานเชื่อมระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่ ถ้าเราเดินข้ามสะพานจะมองเห็นสถานีรถไฟอยู่ด้านล่าง ติดกันนั้นจะเป็นศูนย์การค้า และ Information Center จะอยู่ในนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปถามเกี่ยวกับการเดินทางได้ทุกเรื่อง .... ศูนย์อาหารก็อยู่ในศูนย์การค้านั้นด้วย เที่ยวเหนื่อยก็มาหาอะไรกินได้ที่นี่.

เราไปรอรถเมล์เพื่อกลับไปที่จอดรถนอกเมือง ซึ่งป้ายรถก็อยู่หน้าป้าย Information นั่นแหละครับ รถแทบทุกสายมาจอดที่นั่น ส่วนรถ City Sightseeing จะอยู่ก่อนทางแยกบนสะพานใกล้ๆสวนครับ .... ขึ้นรถกลับไปที่จอด แล้วตั้ง GPS กลับนิวคาสเซิ่ล ออกไปไม่นานก็มืดแล้ว เพิ่งจะ 5 โมงเย็นเอง ค่อยๆขับไปตา Speed Limit จนถึงที่พักในนิวคาสเซิ่ล ก่อนนั่งแท๊กซี่ออกไปทานอาหารเย็น ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดินนัก .... ที่ไม่ขับออกไปเพราะที่จอดในใจกลางเมืองแบบนั้นหายากมากครับ ถึงมีค่าที่จอดก็แพง เผลอๆแพงกว่าค่าแท๊กซี่ด้วยซ้ำ ... พูดถึงบรรยากาศที่ร้านอาหารไทยหน่อยนะครับ วันนั้นคนเยอะมาก อาจจะเพราะเทศกลาลรับปริญญาของ ม.นิวคาสเซิ่ลก็เป็นได้ คือโตะต้องจองนะครับ เจ้าของร้านเป็นคนไทย มีเพียงเด็กเสริฟเท่านนั้นที่เป็นต่างชาติ น้องคนที่เสริฟเราเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ แต่พูดไทยแทบไม่ได้ เธอใช้สิทธิฐานะคนอังกฤษเรียนที่นี่ (คนอังกฤษเสียค่าเรียประมาณตรึ่งหนึ่งของคนต่างชาติ และกู้เงินเรียนได้โดยส่งคืนหลังทำงานแต่รัฐเขาให้ผ่อนคืนแบบเบาๆครับ) คนที่เข้าร้านเกือบทั้งหมดเป็นคนอังกฤษ

ได้เวลาพอประมาณเราก็นั่งรถกลับที่พักให้ทุกคนพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ 5 ธค. 2017 เป็นวันสำคัญของเจ้าลูกชายที่จะเข้ารับ ป.โท วิศวกรรมเคมี ที่มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิ่ลในช่วงเช้า.



💘💘💘ขอบคุณที่ตามอ่านครับ💘💘💘



ณ ร้านอาหารไทยที่เมืองนิวคาสเซิ่ล


ลาด้วยภาพจากเอดินบะระภาพนี้ครับ


__________________

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ขับรถเที่ยวอังกฤษในหน้าหนาว 1 ... นิวคาสเซิ่ล & เดอรัม





บล๊อกเที่ยวอังกฤษหน้าหนาวชุดนี้เป็นการเที่ยวต่อเนื่องจากเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ที่เรานำเสนอการเดินทางท่องเที่ยวเองทางรถไฟในประเทศสวิตเซอร์แลนด์มานะครับ (อ่านเรื่องและชมภาพเที่ยวสวิส) โดยเริ่มเที่ยวจากวันที่ 22 พ.ย. 17 -30 พย.17 จากนั้นก็เดินทงเข้าประเทศเนเธอร์แลนด์ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ในวันที่ 30 พ.ย. - 2 ธ.ค. 17 และบินออกจากประเทศเนเธอร์แลนด์เข้าประเทศอังกฤษที่ลอนดอน โดยสายการบิน British Airways และต่อไปที่เมืองนิวคาสเซิ่ล และจะปักหลักที่นั่น จากวันที่ 2-6 ธันวาคม 2017...การไปอังกฤษคราวนี้เป็นการไปร่วมพิธีรับปริญาโทของเจ้าลูกชายที่มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิ่ลด้วย การเดินทางท่องเที่ยวในอังกฤษหลายเมืองจึงซ้ำกับที่เราได้เคยไปในหน้าร้อน เพราะอยากจะพาคุณภรรยาไปชมเมืองสำคัญๆเหล่านั้นด้วย


สนามบิน Schiphol Amsterdam

เช้ามืดวันที่ 2 ธันวาคม 2017 เราออกจากที่พัก Hans Brinker Budget Hostel โดยการเดินมารอรถที่ใกล้ๆป้าย I amsterdam ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก แต่อากาศหนาวเหมือนกับติดลบเลย ... ตามแผนเครื่อง British Airways จะออกจากสนามบิน Schiphol กรุงอัมสเตอร์ดัม 10.00 น. แต่สภาพอากาศที่ปิดแทบสนิท เครื่องต้องประกาศเลื่อนไป 2 ครั้ง จาก 10.00 เป็น 13.45 และเป็น 14.21 น. ในที่สุด เมื่อเครื่องเปลี่ยนเวลา เราก็ต้องเช็คกันเพื่อว่าจะได้เดินทางไปนิวคาสเซิ่ลเลยไหม ครั้งแรกเขาบอกให้รอที่ลอนดอนและบินต่อในตอนเช้า แต่ที่สุดเราก็ขอให้เขาหาเที่ยวบินไปนิวคาสเซิ่ลให้เราได้ .... แค่จะเข้าอังกฤษวันแรกก็มันส์แล้วพะยะค่ะ ไม่รู้ต่อไปจะเจออะไรอีกไหม ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งต้องคิดให้หนัก


อากาศวันที่ 2 ธันวาคม 2017 ปิดจนทำให้เครื่อง Delay

เราได้บินจาก Schiphol Airport ไปลอนดอน Heathrow Airport เวลา 14.21 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที เราถึงลอนดอนตามเวลา ซึ่งช้ากว่าที่อัมสเตอร์ดัม 1 ชั่วโมง แต่กว่าที่เราจะได้บินจากเทอร์มินัล 5 สนามบินฮีตโทรว์ ก็เกือบ 5 โมงเย็น เมือ่ไปถึงเมืองนิวคาสเซิ่ลก็มืดแล้ว (หน้านี้ที่อังกฤษจะมืดเร็ว ประมาณสี่โมงเย็นก็มืดแล้ว หลังจากรับกระเป๋าเสร็จ เราก็หาซื้อซิมโทรศัพท์ของอังกฤษเพื่อใช้โทรหาบริษัทรถที่เราเช่าไว้ ซึ่งก็อยู่ห่างสนามบิน 5-6 กม. ทีเดียว ... รอนานหน่อยเพราะหากันไม่เจอ อากาศวันนั้นหนาวสุดๆ ออกไปยืนด้านนอกอาคารได้ไม่นานก็ต้องเผ่นกลับ จึงคราดกันกับรถในรอบแรกและรถก็จอดแช่รอเราไม่ได้ด้วยสิ เราจึงต้องตามกันครั้งที่ 2 และไปรอกันที่จุดเลย คราวนี้ได้

ครั้งแรกเราเช่ารถ Ford Focus แบบดีเซลเอาไว้ เพราะเห็นที่เก็บของด้านหลังกว้างหน่อย แต่พอไปเขาเอาเจ้าเบนซ์ B200d แบบดีเซลเกียร์ออโต้ไว้ให้เรา แต่เมื่อเช็ครถแล้วปรากฏว่ามีรอยเฉี่ยว ขูด หลายที่ แต่ดีที่เราทำประกันแบบ Full Cover และส่งแบบไม่ต้องเติมน้ำมันเต็มถัง ซึ่งก็ไปทำกันครงที่รับรถนั่นแหละ ต่อรองแล้วแพงกว่าค่าเช่ารถ 10 วันอีก แต่ดีตรงที่เราไม่ต้องเสียเวลามาระวังมากมาย และสบายใจโดยไม่ต้องวาง Deposit 1250 ปอนด์ อีกอย่างเมื่อกลับบ้านไม่ต้องกลัวเขาหาเรื่องให้จ่ายเงินอีก.


รถที่จะใช้ในอีก 10 วันข้างหน้าเป็นเมอร์ซิเดส B200d เครื่องดีเซล เกียร์ออโต้


สำหรับวิธีการจอง ก็อาศัยเวบ Retalcars.com ครับ เลือกขนาดรถ ยี่ห้อ และรายละเอียดในการเช่า ส่วนวันรับรถก็เอาใบขับขี่แบบสมาร์ทการ์ดเราและใบขับขี่สากลไปให้เขาดู พร้อมใบจองครับ ถ้าเรามั่นใจในการใช้รถของเรา ก็เอาแบบปกติครับ คือรถเช่าทุกคันจะมีประกันชั้น 3 ให้อยู่แล้ว (อ่านในสัญญาเช่า) แต่ต้องวางเงินประกัน บางบริษัทก็ 1000 ปอนด์ บางบริษัมก็ 1250 ปอนด์ ส่วนมากพวกค่าเช่าแพงเงินประกันจะถูก โดยวิธีการเขาจะให้รูดบัตรเครดิตไว้ (บัตรเครดิตก็สำคัญนะครับ หลายบริษัทเขาไม่รับเงินสดนะครับ โดยจะบอกไว้หน้าเวปเลย) ฉะนั้นเงินในบัตรเราจะถูกกันไว้เท่าจำนวนประกัน และจะไม่สามรถใช้เงินยอดนี้ได้จนกว่าจะคืนรถ


The New Gorge Hotel ที่พักในนิวคาสเซิ่ล 

รับรถเสร็จทดสอบระบบต่างๆก่อนออกขับจริง เพราะมีอะไรจะได้ให้เขาแก้ไขก่อน อีกเรื่องที่สำคัญคือวิธีการติดต่อสื่อสารในกรณีฉุกเฉินครับ ถามไถ่ให้เรียบร้อย (แต่เราแน่ใจว่าเขาซ่อน GPS ไว้ติดตามอยู่แล้ว เผื่อกรณีเราไม่รู้จักสถานที่) .... หลังรับรถและทำสัญญาเพิ่มเสร็จก็เลยหกโมงเย็นไปแล้ว ในรถเบนซ์ที่เราเช่าไว้มี GPS ให้ด้วยไม่ต้องเช่าเพิ่ม แต่เราใช้ไม่ถนัดอ่ะครับ เลยงัดเอา Garmin ที่เรานำไปจากเมืองไทยมาใช้ โดยซื้อแผนที่ยุโรปและอังกฤษไปจากบ้านเราเลย โดยรวมก็ใช้ได้ดีนะ ... เราเซ็ทจุดหมายไปที่ The New Gorge Hotel, 88 Osborne Rd, Newcastle upon Tyne NE2 2AP สหราชอาณาจักร โดยใช้ Post Code  NE2 2AP เมืองนิวคาสเซิ่ลนั่นแหละครับ จากนั้นก็ตามไป

ถึงที่พักมืดแล้ว 20.30 น. มั๊ง ขับไปใกล้แล้วจอดลงไปถามว่าใช่หรือไม่ และที่จอดรถอยู่ตรงไหน เผอิญเราไปถึงที่จอดรถเต็มอีกด้วย แต่หนุ่มที่รับเราบอกว่ารถที่เห็นอยู่นั้น เขามา weekend เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ว่าง แต่วันหยุดแบบนี้เราสามารถจอดในที่จอดของเมืองได้ฟรีหลัง 18.00 น. เราเลยได้ที่จอดห่างจากที่พักไปประมาณ 50 เมตร (ที่จอดรถในอังกฤษเป็นอะไรที่หายากมากๆ และค่าจอดแพงด้วย) ห้องพักเป็นแบบไม่มีอาหารเช้า พื้นที่ก็ถือว่าโอเคสำหรับราคาประมาณ 4000 กว่าบาทต่อคืน สำหรับสามคน



ไปเยี่ยมเพื่อนชาวอังกฤษที่เมือง Bishop Aukland

เช้าวันที่ 3 ธันวาคม 2017 เราถือโอกาสไปเยี่ยมบ้านคนที่เรารู้จัก ที่มือง Bishop Auckland ลงไปทางใต้เมืองนิวคาสเซิ่ลประมาณ 30 ไมล์ เป็นวันแรกที่เราได้ทานอาหารไทย ซึ่งเจ้าภาพจัดให้แบเต็มสุดๆ รวมทั้งไก่งวงอบด้วย ก็ขอขอบคุณผ่านเวปนี้อีกครั้งครับ .... คุยกันสัพเพเหระได้ถึงบ่ายสองครึ่งเราก็ออกเดินทางไปเดินชมเมืองเดอรัมกัน ซึ่งก็ห่างจาก Bishop Auckland ขึ้นไปทางนิวคาสเซิ่ล 15 ไมล์ ถึงเดอรัม ประมาณบ่ายสาม เราจอดรถไว้ Park & Ride ด้านเหนือของเมือง แล้วซื้อตั๋วรถบัสจากตรงนั้นเข้าเมือง คนละ 1 ปอนด์ ส่วนค่าจอดฟรี (ที่ Park & Ride เขาจะมีบริการรถเข้าเมืองแบบไป-กลับ ค่าตั๋วก็ไม่แพง ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนให้ใช้ที่จอดรถนอกเมืองและเข้าเมืองโดยขนส่งสาธารณะ เพื่อรถความแออัดของการจราจรในเขตเมือง)

เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเวียร์เข้าย่านใจกลางเมือง


เดอรัม (Durham)
เป็นเมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ อยู่ห่างจากเมืองนิวคาสเซิลอะพอนไทน์ลงมาทางใต้ประมาณ 25 กม. ตั้งอยู่บนแม่น้ำเวียร์ (River Wear) ซึ่งไหลล้อมรอบเมืองทั้งสามด้าน เดอรัมเป็นที่รู้จักกันดีจากมหาวิหารเดอรัมและปราสาทแบบโรมานเนสก์ที่ตั้งอยู่ในเมือง ซึ่งยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลก และมหาวิทยาลัยเดอรัม ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสามของอังกฤษ (อันดับ 1 คือมหาวิทยาลัย Oxford, อันดับ 2 คือมหาวิทยาลัย Cambridge)


River Weir


Charles W.V. Stewart Monument


Durham Market Square


มีร้านอาหารไทยด้วย

คำว่า “เดอรัม” มาจากคำว่า “dun” ของภาษาอังกฤษเก่า ซึ่งแปลว่าเนิน และภาษานอร์สโบราณ “holme” ที่แปลว่าเกาะ บาทหลวงแห่งเดอรัมใช้ภาษาละตินแปลงของชื่อเมืองในการลงนามที่ลงเป็น T “N. “Dunelm”” บ้างก็ว่ามาจากตำนาน “Dun Cow” และหญิงรีดนมที่นำพระที่แบกร่างของนักบุญคัธเบิร์ต (Saint Cuthbert) จากลินดิสฟาร์น (Lindisfarne) ไปยังที่ที่เป็นที่ตั้งเมืองในปัจจุบันในปี ค.ศ. 995 เชื่อกันว่าซอยดันคาวว์เป็นถนนสายแรกของเดอรัม อยู่ทางตะวันออกของมหาวิทยาลัยเดอรัม และทราบได้จากชื่อที่แกะไว้บนหินทางด้านใต้ของมหาวิหาร

เดอรัมมีชื่อต่างๆ กันไปต่างๆ ตลอดมาในประวัติศาสตร์ บ้างก็ว่าเดิมมาจากภาษานอร์ดิค “Dun Holm” ต่อมาเปลี่ยนไปเป็น “Duresme” โดยชาวนอร์มันและรู้จักกันในชื่อภาษาละตินว่า “Dunelm” ชื่อ “Durham” ที่ใช้ในปัจจุบันมาใช้กันในภายหลัง นักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตะวันออกเฉียงเหนือโรเบิร์ต เซอร์ทีส์ (Robert Surtees) ลำดับการเปลี่ยนชื่อในหนังสือ “History and Antiquities of the County Palatine of Durham” แต่ก็กล่าวว่าเป็นไปได้ยากที่จะทราบว่าชื่อที่ใช้ในปัจจุบันเริ่มขึ้นเมื่อใด

ที่มา :  th.wikipedia.org/wiki/เดอรัม






ปราสาทเดอรัม
ปราสาทเดอรัม (Durham Castle) เป็นปราสาทแบบนอร์มันในเมืองเดอรัม เทศมณฑลเดอรัม สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวิหารเดอรัม บนยอดเนินเขาเหนือแม่น้ำเวียร์บนคาบสมุทรเดอรัม

ปราสาทนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 เพื่อปกป้องบิชอปแห่งเดอรัมจากการถูกโจมตี เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของปราสาทแบบ mott and bailey ที่ได้รับอิทธิพลของนอร์มัน ... ปราสาทนี้ห้องโถงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นบิชอปแอนโทนี เบค เมื่อต้นศตวรรษที่ 14 เคยเป็นห้องโถงในปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในเกาะบริเตน จนกระทั่งบิชอปริชาร์ด ฟอกซ์ ปรับขนาดห้องโถงให้เล็กลงเมื่อสิ้นศตวรรษที่ 15 ห้องโถงปัจจุบันมีความสูง 14 เมตร และยาวมากกว่า 30 เมตร


ปราสาทเดอรัม

ปราสาทเดอรัมมีวิหารอยู่ 2 แห่ง คือ วิหารนอร์มัน สร้างเมื่อประมาณปี 1078 และวิหารทันสตอล สร้างในปี 1540 ... วิหารนอร์มันเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการสำรวจในปราสาท สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบแซกซอน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามีการเกณฑ์แรงงานชาวแซกซอนมาสร้าง ในศตวรรษที่ 15 หน้าต่างของวิหารทั้ง 3 บานถูกปิดผนึกหลังมีการต่อเติมป้อมปราสาท และไม่ได้ถูกใช้งานอีกจนกระทั่งปี 1841 ซึ่งถูกใช้เป็นทางเดินภายในป้อมปราสาท ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ถูกใช้เป็นฐานที่มั่นสะสมกำลังและสังเกตการณ์ของกองทัพอากาศ และต่อมาเมื่อมีการสำรวจจึงได้ทราบจุดประสงค์แต่เดิมของการสร้างวิหารนี้ หลังสงครามจึงมีการบูรณะวิหารขึ้นใหม่และใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมมาจนทุกวันนี้ ..... วิหารทันสตอลมีขนาดใหญ่กว่าวิหารนอร์มัน และถูกใช้งานมามากกว่า ในศตวรรษที่ 17 บิชอปคอซินและบิชอปครูว์ได้ต่อเติมส่วนของวิหารให้กว้างขวางขึ้น ที่ด้านหลังวิหาร ม้านั่งบางตัวบริเวณนี้ทำขึ้นมาตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่ 16

ปราสาทเดอรัมและมหาวิหารเดอรัมได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม


วิหารเดอรัม (Durham Cathedral)


ซ้ายวิหาร Durham  ขวา : ห้องสมุดมหาวิทยาลับ Durham (อยู่ตรงกลางระหว่างปราสาท และมหาวิหาร)

การไปชมปราสาทต้องเดินขึ้นตามถนนแคบๆปูด้วยหินแบบเมืองเก่าในอังกฤษทั่วไป โดยต้องขึ้นเนินไปพอสมควร พอถึงจะเป็นสนามโล่งมองเห็นมหาวิหารอยู่ฟากหนึ่งของสนาม หน้าวิหารจะเป็น Symmetry Yard หรือที่ฝังศพนั่นแหละครับ เดินเข้าไปชมวิหาร เมื่อจบแล้วเดินออกมาจะมีเนินที่มีูปไม้กางเขน ริมกำแพงด้านหลังสามารถชมวิวเมืองในมุมสูงได้ พอผ่านตรงนั้นไปจะเห็นทางเข้าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเดอรัม เลยไปเป็นทางเข้าชมปราสาทเดอรัม แต่เสียดายเขาปิดครับ เดินอ้อมสนามแล้วกลับลงสู่กลางเมืองโดยใช้เส้นทางเดิม



เดินชมเมืองและปราสาทจนเย็นแล้วจึงไปรอขึ้นรถบัสที่จะไปปาร์คแอนไรด์ ที่เราจอดรถไว้ ตอนขึ้นรถต้องแสดงตั๋วให้คนขับดูหน่อย ถึงที่จอดรถเราจึงแยกย้ายกันกลับ เราขับกลับที่พักเมืองนิวคาสเซิ่ล พักเอาแรงไว้เดินทางไกลไปเที่ยวเมืองเอดินเบอร์กในวันพรุ่งนี้.



💘💘💘ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ💘💘💘



ถนนเดินขึ้นปราสาท Durham


___________________