วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

อัมสตอร์ดัม 2 .... หนึ่งวันในอัมสเตอร์ดัม


วันที่ 1 ธันวาคม 2018 อากาศที่อัมสเตอร์ดัมหนาวมากๆ จากห้องที่มี heater สบายๆ แต่เมื่อเราอยากไปทัวร์เมืองนี้ก็ต้องทนหนาวล่ะ เมืองนี้อยู่ทางเหนือของเนเธอร์แลนด์ หรือเมื่อก่อนเราเรียกว่า "ฮอนแลนด์" หรือ "ฮอลันดา" นั่นแหละ ... เพราะเรามีเวลาแค่วันเดียวในอัมสตอร์ดัม (มาถึง 30 พ.ย. 17 และออก 2 ธ.ค. 17) เราจึงทำได้แค่ไปชมส่วนสำคัญๆบางแห่งได้เท่านั้น ที่เหลือเอาไว้คราวต่อไปครับ

เมืองอัมสเตอร์ดัมตั้งอยู่ริมแม่น้ำอัมสเทล... อัมสเตอร์ดัม หรือ Amsterdam ในภาษาอังกฤษ จึงมีที่มาจากการรวมกันของแม่น้ำอัมสเทล และคำว่าดัม หรือ แดมในภาษาอังกฤษซึ่งแปลว่าเขื่อน เมื่อรวมกันเข้าจึงเรียกเมืองนี้ว่า "อัมสเตอร์ดัม" ซึ่งแปลว่า "เขื่อนที่อยู่ริมแม่น้ำอัมสเทล"






อัมสเตอร์ดัม เป็นเมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอัมสเทล (Amstel) เริ่มก่อตั้งประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12 ปัจจุบันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ มีประชากรในเขตตัวเมืองประมาณ 742,000 คน แต่ถ้านับรวมประชากรในเขตเมืองโดยรอบทั้งหมด จะมีประมาณ 1.5 ล้านคน (ข้อมูลปี ค.ศ. 2005)

อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป โดยเฉพาะช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงยุคทองของเนเธอร์แลนด์

ถึงแม้อัมสเตอร์ดัมจะเป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่ศูนย์กลางของหน่วยงานรัฐบาลนั้นอยู่ที่เฮก


แผนที่ชั้นในอัมสตอร์ดัม

สำหรับการวางแผนการเที่ยวในอัมสเตอร์ดัมของเราจะไปตามจุดต่างๆในแผนที่ด้านบนคือ 
1. ไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ที่มี I amsterdam  sign  อยู่ด้านหน้า  2. ไปล่องเรือชมเมือง 3. ไปอัมสเตอร์ดัมสแคว (Dam Square) 4. ไป De Gooyer Windmill และสุดท้าย 5. ไปตลาดดอกไม้ลอยน้ำ (Bloemenmark) 

ส่วนการเดินทางในอัมสเตอร์ดัมวันนี้เราซื้อตั๋ว Amsterdam & Region travel Ticket แบบ 1 day ราคา 18.5 ยูโร ซึ่งครอบคลุมการเดินทางทั้งรถราง รถเมล์และเรือ ... ก็หาซื้อที่โรงแรมที่พักนั่นเลยก็ได้ครับสะดวกมากๆ





หลังอาหารเช้าจากที่พัก Hans Brinker Butget Hostel ถนน Kerkstraat เวลา 9.00 น.แล้ว เราก็เดินชมเมืองฝ่าความหนาวข้ามคลองเล็กหนึ่งคลอง และคลองใหญ่หนึ่งคลอง เราก็จะมองเห็นป้ายตัวหนังสือใหญ่ๆ I amsterdam สีขาวและแดง อยู่หน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ แห่งอัมสเตอร์ดัม (Amstedam Rijksmuseum) ในวันที่ไปเป็นหน้าหนาว ด้านตรงข้ามจะกลายเป็นลานสเก็ตน้ำแข็ง เด็กๆเล่นกันเต็มไปหมด .... เลยไปอีกจะเป็นพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะห์ (Van Gogh Museum) อันโด่งดังครับ

เนื่องจากเวลาเรามีไม่มากนัก การเดินทางในอัมสเตอร์ดัมจึงมุ่งเอาแค่เก็บภาพที่ระลึกจากสถานที่เหล่านั้นเท่านั้น ไม่มีเวลาเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์เลยครับ ได้แต่หวังว่าซักวันคงได้กลับมาเยี่ยมชมด้านในกัน ... ตอนที่เราไปถึงนักท่องเที่ยวเริ่มมากันแล้ว แม้อากาศจะหนาวมากแถมมีฝนนิดๆด้วย ..ใครๆที่มาตรงนี้ก็อยากจะเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกันทั้งนั้น หลายคู่จึงขอให้เราถ่ายภาพให้ (สงสัยเขาเห็นว่าเราถือกล้องตัวใหญ่ เลยเข้าใจว่าเราคงจะเป็นช่างภาพมืออาชีพมั๊ง?) ก็ช่วยๆกันไปตามประสานักท่องเที่ยวครับ

ตรงหัวโค้งเลยตัว I (ไอ) ไปนิดจะมีรถเมล์ไปแอร์พอร์ตด้วย สะดวกมากๆ ตั๋วก็ไปจ่ายบนรถนั่นแหละ ในวันที่ 2 ธ.ค. เราก็ไปขึ้นรถป้ายนั้น


ด้านหลังคือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ แห่งอัมสเตอร์ดัม


ลานสเก็ตน้ำแข็ง




พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ แห่งอัมสเตอร์ดัม


หน้าสถานรถไฟเซ็นทรัล (Centraal Station)

จาก I amsterdam sign เรานั่งรถรางสาย 5 มาที่สถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋วเรือท่องเที่ยวชมวิวในคลองที่สำคัญๆของอัมสเตอร์ดัม เราเลือกลงเรือของบริษัท Lovers canal cruise แบบ 1 ชั่วโมง เขามีให้เลือกหลายแบบนะครับตามป้ายด้านล่าง รวมทั้งแบบ Hop on - Hop off (นั่งไปลงชมสถานที่ต่างๆแล้วค่อยขึ้นลำใหม่ไปต่อ) ราคาก็ตามที่เห็น สำหรับแบบ 1 ชั่วโมงของเรา ตอนไปถึงมีโปรลดราคาด้วย จาก 18 ยูโร/คน เหลือ 16 ยูโร/คน (ลองเอา 38 คูณเข้าไปก็จะได้เป็นเงินบาทในวันนั้น) ... ถึงแม้อากาศวันนั้นจะหนาวเย็น แต่ในเรือที่อยู่ในห้องกระจก ก็อุ่นด้วย Heater จึงทำให้การนั่งเรือชมสถานที่สำคัญๆได้ในบรรยากาศที่สบายๆ.


Lovers Canal Cruise port.




ภายในเรือที่ปิดด้วยหลังคากระจกใส โปร่งแสง สามารถมองเห็นรอบด้านได้ .... การบรรยายขณะนั่งเรือชมในคลองในเวลา 1 ชั่วโมงนั้น เขาจะมีหูฟังให้ มีบรรยยายเป็นภาษาต่างๆ 19 ภาษารวมทั้งภาษาไทยด้วย โดยเลือกภาษาได้ด้วยตัวเองจากปุ่มด้านข้าง เลยฟังสบายๆ



เวลา 1 ชั่วโมงบนเรือผมว่าคุ้มมากๆ เพราะอัมสเตอร์ดัมนี่ถือว่าเป็นเวนิชทางตอนเหนือของยุโรปเลยก็ว่าได้ เพราะมีคลองเยอะๆนี่แหละการก่อตั้งสถานที่สำคัญในเมืองจึงมีอยู่ริมคลองและหันหน้าออกสู่คลองด้วยเช่นกัน ส่วนสถานที่ที่ผ่านมีอะไรบ้างผู้เขียนบล๊อกก็จำได้ไม่ครบ ลองหาอ่านเพิ่มเติมตามบริษัทเรือที่พาเที่ยวละกันครับ


ภายในเรือ Lovers canal Cruise


เรือท่องเที่ยวจอดหน้าสถานีรถไฟ


พิพิธภัณฑ์เรือ

















ขึ้นจากนั่งเรือชมอัมสเตอร์ดัม เราก็เดินตามถนน Damrak ไปที่จตุรัส Dam Square เพื่อเก็บภาพกันต่อ ... มีคำถามว่าระหว่งเดินทางท่องเที่ยวเราเอาเวลาไหนรับประทานอาหาร ก็บอกได้เลยว่า เราเข้าเมืองตาหลิ่ว ก็หลิ่วตาตามพวกฝรั่งเขา คือมื้อเช้าอัดมาให้หนักจากที่พัก กลางวันถ้าหิวก็ซื้อพวกฟาสท์ฟู๊ดกินกันไป ส่วนมื้อเย็นก็หนักอีกตามประสาไทยเราเพราะเป็นช่วงพักผ่อน มีเครื่องดื่มบ้างพอหายเหนื่อย อย่าลืมว่าเนเธอร์แลนด์ คือประเทศที่ผลิตเบียร์ดัง ไฮเนเก้นนะครับ ... จตุรัสแดมสแควนับว่าเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของอัมสเตอร์ดัม เพราะรอบๆมีที่เที่ยวและร้านอาหารมากมาย


สถานีรถไฟ Centraal Station


Church of Saint Nicholas

จัตุรัสแดมสแควร์ นั้นเเต่เดิมเป็นสถานที่ก่อสร้างเขื่อนเเห่งเเรกของฮอลเเลนด์ตั้งเเต่ปี ค.ศ.1200 ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนมาเป็นลานโล่งกว้างตามสมัยนิยมในเวลาต่อมา เเละที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ มากมายรายล้อมเเละอยู่ในบริเวณเเห่งนี้อย่างมากมายหลายเเห่งด้วยกันทั้งในส่วนของ พระราชวังหลวง ที่ใครมาเเล้วจะต้องมาเที่ยวชมให้ได้ ส่วน อนุสรณ์สถานสงคราม เเละ โบสถ์ใหม่ ก็อยู่ในบริเวณเเห่งนี้อีกด้วย รวมทั้งอนุสาวรีย์แห่งเสรีภาพ ที่สร้างขึ้นมาเป็นลักษณะรูปทรงกรวยสีขาวเพื่อรำลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ตั้งอยู่ในสถานที่เเห่งนี้ นอกจากนี้เเล้วก็ยังเป็นบริเวณที่ใช้ในการจัดพระราชพิธีต่างๆ อย่างมากมายของราชสำนักเนเธอร์เเลนด์อีกด้วย


National Monument

Royal Palace Amsterdam


รถม้าให้บริการรอบๆพระราชวัง


Hotel Mevlana


หน้า Royal Palace Amsterdam

😊 จาก Dam Square เรานั่ง Tram สาย 14 ไปที่ De Gooyer Windmill (จุดที่ 4 ในแผนที่ด้านบน) เพื่อถ่ายภาพกับเจ้ากังหันสีลมตัวใหญ่ของอัมสเตอร์ดัม โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที 



Amsterdam De Gooyer windmill


Amsterdam De Gooyer windmill เป็นกังหันสีลม ตั้งอยู่ระหว่าง Funenkade และ Zeeburgerstraat ที่สร้างด้วยไม้สูงที่สุดในประเทศเนเธอร์แลนด์ คือสูง 26.6 เมตร สร้างราวศตวรรษที่ 16  ฐานเป็นหินช่วงตัวเรือนเป็นไม้ ตอนนี้ไม่ได้ใช้งานแล้ว และได้จดทะเบียนเป็น National Monument ไว้แล้ว (อ่านเพิ่มเติม)


คลองด้านข้าง De Gooyer windmill




คลองใกล้ๆ De Gooyer windmill


รอ Tram ตรงนี้

จาก De Gooyer windmill เรานั่ง Tram สายเดิมคือสาย 14 ไปลงที่ตลาดดอกไม้ลอยน้ำ หรือ บลูเมนมาร์ค (Bloemenmark) ซึ่งใช้เวลาประมาณ 17 นาที โดยไปลงใกล้ๆตลาด แล้วเดินเข้าไปหน่อยหนึ่ง .... 

ตลาดปัจจุบันเป็นตลาดดอกไม้ที่อยู่บนคลองในใจกลางกรุงอัมสเตอร์ดัม ร้านตลาดตั้งอยู่บนเรือที่ลอยอยู่ในคลอง ก่อนหน้านี้มีเพียงดอกไม้และพืชขายในตลาดในวันนี้ร้านส่วนใหญ่มีความเชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่ดอกทิวลิปและของที่ระลึกที่มีขาย


เดินตามถนนี้เข้าไป


เจอโบถส์ริมคลอง


ด้านขวาคือตลาดดอกไม้ลอยน้ำ


ปัจจุบันมีขายทั้งพันธ์ุดอกไม้และของที่ระลึก


ช่อทิวลิปสวยๆ


นั่ง Tram สาย 5 กลับที่พัก

จากตลาดดอกไม้บลูเมนมาร์ค เรานั่งรถรางกลับที่พัก แถวถนน Kerkstraat เก็บของเข้าห้องพัก ก่อนจะออกไปหาร้านอาหารแบบอัมสเตอร์ดัมแท้ๆทานกัน เจอร้านหนึ่งแถวหัวมุมถนน Kerkstraat กับถนน Leidsestraat ซึ่งเราจ้องไว้แล้ว ก่อนจะเดินเข้าที่พัก เจ้าของร้านเป็นคนที่มีอายุซัก 50+ ใจดีมากๆ เราสั่งสะเต็กเนื้อคนละจานพวก French fries เติมได้ไม่อั้น เบียร์ไฮเนเก้นก็เสริฟไม่ขาด (ได้ตามคำขอ) พอคนเริ่มบางลงแกก็มายืนสนทนากับเราด้วย ที่แปลกๆแกนึกว่าเราเป็นชาวฟิลิปปินส์อ่ะซิ โอ๊ยลุงสำเนียงปะกิตแบบเรานี่เหรอชาวปินส์...แกบอกว่าเมืองไทยเคยเห็นแต่ในภาพ สวยมากๆ อยากไปแต่ก็ต้องทำงาน และจะหาโอกาสมาไทยให้ได้


ที่พักเรา (ป้ายเหลือง) Hans Brinker budget hostel, Amsterdam


ใกล้ๆที่พักมีร้านอาหารมากมาย

เช้าวันที่ 2 ธ.ค. เราตื่นแต่เช้าเพื่อมารอรถประจำทางไปสนามบิน Schiphol Airport ที่ป้ายใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ อัมสเตอร์ดัม หรือติดกับ I amsterdam sign โดยรถบัสสาย  397 ไปที่สนามบิน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 33 นาที ลงหน้าสนามบินเลย ค่าโดยสารประมาณ 4 ยูโร ซื้อได้บนรถนั่นเอง (วันนั้นเขาลดราคาด้วย ไป 3 คนจ่ายแค่ 2 ... เรายื่นเงินให้ 12 ยูโร และบอกว่า 3 คน คนขับบอกว่าคิดแค่ 2 คนยื่นกลับให้เรา 4 ยูโรเฉยเลย) 

tips : การใช้ตั๋วโดยสารสาธารณะในอัมสเตอร์ดัมแบบ 24 ชั่วโมง หรือแบบหลายวัน ครั้งแรกที่ใช้อย่าลืมแตะที่เครื่องให้เครื่อง activate เวลาเริ่มนะครับ ทางที่ดีควรแตะบัตรทุกเที่ยวทั้งขึ้นและลงนั่นแหละครับ👈


ภายในสนามบิน Schiphol Airport


อากาศที่สนามบิน Schiphol Airport 2 ธันวาคม 2017

เราถึงสนามบินก่อนกำหนดเครื่องออก 2 ชั่วโมงกว่า และก็เสียเวลาเดินหา Gate ที่จะไปขึ้นเครื่อง British Airways ไปลอนดอนอีกนานเหมือนกัน ... ท่านที่ไมชำนานสนามบินนี้ อย่าชะล่าใจเด็ดขาดครับ แต่ละส่วนห่างกันมากๆ  เช้าวันที่ 2 ธันวาคม 2017 อากาศที่สนามบินปิด ทำให้เครื่องที่จะไปลอนดอนและที่อื่นๆเสียเวลาไปร่วม 3 ชั่วโมง .... จากวันที่ 2 - 12 ธันวาคม 2017 เราจะไปโต้ลมหนาวที่อังกฤษต่อครับ.


💘💘ขอบคุณที่ติดตามครับ💘💘


ลาด้วยภาพสถานีรถไฟ Centraal Station, Amsterdam.


______________

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2561

อัมสตเอร์ดัม 1 .... จากอินเทอร์ลาเก้น สู่ อัมสเตอร์ดัม



กลับมาพบกันอีกครั้งในทริปยุโรปของเราครับ บล๊อกนี้จะเป็นการเดินทางต่อเนื่องหลังจากที่เรามาทัวร์สวิสกันในบล๊อกก่อนๆแล้ว 10 วัน วันนี้จะพาคุณๆนั่งรถไฟสวิสและรถไฟเยอรมัน (DB) จากเเมือง Interlaken ในสวิสไปที่เมือง Amsterdam ในประเทศเนเธอร์แลนด์กันครับ .... บล๊อกนี้เป็นการเดินทางแบบผจญภัยสุดๆของเราเลยก็ว่าได้ มีอะไรน่าตื่นเต้นบ้างไปตามอ่านกันเลยครับ


ในตัวเมือง Interlaken ในตอนเช้า

ที่สถานีรถไฟ Interlaken Ost.

วันนีี 30 พย. ต้องอกจากสวิสแล้ว กำลังอินน์กับความสวยงามของประเทศเล็กๆนี้อยู่เลย ซึ่งในหน้านี้แต่ละวันมีความเปลี่ยนแปลงตลอด วานนี้พื้นที่ยังเขียวขจี แต่อีกวันขาวโพลน ซะแล้ว...แต่ถึงเวลาก็ต้องไปต่อตามแผนครับ



ตั๋วรถไฟจาก Interlaken - Amsterdam


เราจองตั๋วรถไฟผ่านบริษัท GoEuro Travel Gmbh ไว้ก่อนเดินทางจากเมืองไทยแล้วครับ โดยรถที่เราเลือกเป็นรถไฟเยอรมันครับ ซึ่งเชื่อมต่อไปยังเมืองที่เราจะออกจากสวิสคืออินเทอร์ลาเก้น ซึ่งเส้นทางจะเป็นดังนี้ครับ

จาก Interlaken --> Basel SBB --> Frankfurt (main) Hbf --> Amsterdam Centraal ครับ คือแต่ละสถานี เราจะต้องเปลี่ยนขบวนรถเพื่อเดินทางต่อ ซึ่งในตั๋วก็จะบอกชานชาลาไว้หมด (อยู่ในช่อง Gleis) ส่วนชื่อขบวนรถก็จะอยู่ในแถวขวาสุดครับ ... โดยในค่าโดยสาร 3 คน จากอินเทอร์ลาเก้น ถึง อัมสเตอร์ดัม ราคารวม VAT 19% แล้ว คือ 169.59 Euro. ถ้าคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนในวันนั้นที่ 38 บาท/ 1 ยูโร ก็จะตกประมาณ 6444.42 บาท .... แต่ถ้าเราเลือกนั่งรถไฟ TGV ไปทางปารีส ผ่านเบลเยี่ยมแล้วเข้าเนเธอณ์แลนด์ ราคาจะแพงกว่านี้มาก แต่ต้องไปเสียเวลารอที่ปารีสอีกนานหน่อย เวลาที่เข้าถึงอัมสเตอร์ดัมช้ากว่าอีก .... เราเลยเลือกไปทางเยอรมัน


แผนที่การเดินทาง

ที่สวิสในหน้าหนาว อากาศเปลี่ยนเร็วมาก วานนี้ (29/11/17) เราไปเจนีวาในตอนเช้า หลายๆพื้นที่ยังเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีอยู่เลย เช้านี้โดนคลุมด้วยหิมะขาวโพลนไปหมดแล้ว และดูเหมือนจะคลุมทั่วประเทศเสียด้วยสิ .... สองข้างทางวันนี้จึงมีแต่สีขาวเต็มไปหมด


จาก Interlaken วันนี้หิมะปกคลุมทั่วสวิส



ที่กรุง Bern สวิส

ขนาดเราวางแผนการเดินทางมาอย่างดี กะออกจาก Interlaken Ost. 8.00 น. ไปให้ถึง Amsterdam 17.30 น. แต่รถไฟสวิสก็มีเพี้ยนเหมือนกัน โดยออกจาก Interlaken ตามแผน แต่พอถึง Bern ต้องจอดรอเสียเวลา 6 นาที ชักเริ่มเสียวแล้วสิ ถึง Basel (ติดชายแดนเยอรมันและฝรั่งเศส) เปลี่ยนรางเข้าอีก พอลงไปวิ่งไปหา Track เดิมที่จะรถไฟ DB ของเยอรมันจะออก ปรากฎว่าไม่มาซะงั้น..

คราวนี้ทำไงดีล่ะ เห็นบนสะพานลอยข้ามไปหาชานชะลามีคนใส่เสื้อขีดเขียวอ่อนติดป้าย Information เลยเข้าไปสอบถาม และพวกเขาก็รับผิดชอบดีนะ บอกว่ารถเปลี่ยนแผนวิ่ง เขาพาเราไปออกตั๋วใหม่โดยเจ้าหน้าที่เซ็นกำกับ(คงบอกว่าผิดทีระบบเขาเอง ประมาณนั้น) เขาประทับตาและเอา Timetable มาให้เรา ซึ่งต้องเปลี่ยนจากสถานี Basel SBB ไปที่ Basel Badisher Hbf ซึ่งเป็นสถานีรถไฟเยอรมันมาจอดโดยต้องนั่งรถไฟไปที่สถานีนั้นอีกประมาณ 15 นาที.

ก็ได้เดินทางนะ แต่ช้ากว่าเดิม ชั่วโมงกว่า โดยกำหนดถึง Amsterdam ใหม่ 19.35 น. 


 รถไฟขบวน ICE (Inter City) ความเร็วสูงของเยอรมัน (ขอบคุณภาพจากเวบไซต์)


👉ในขบวบรถ ICE ของเยอรมัน จะมีแยกเป็น 2 ชั้นเหมือนรถไฟในสวิสเลยครับ ในชั้นที่1 ( 1 Klasse) จะมีที่นั่งกว้างกว่าและติดตั้งเพียง 3 แถว ส่วนชั้น 2 (2 klasse) ก็จะติดตั้งที่นั่งไว้เป็นแบบ 4 แถว สลับกับที่มีโต๊ะไม้แบบพับได้ด้วย .... เวลาจองก็ดูตามนั้น และเวลาขึ้นก็ดูดีๆว่าเป็นชั้น 1 หรือ 2 (จะเขียนไว้ตรงประตูขึ้น-ลง) แต่ถ้าจะจองแบบสำรองที่นั่งก็ต้องดูตู้ดีๆด้วยว่าหมายเลขที่เท่าไหร่ ภายในจะมีโบกี้ร้านอาหาร และมีคนเข็ญรถมาขายด้วย👈


ภายในห้องผู้โดยสารชั้น 2 (แบบที่เราโดยสาร) ตรงปลายทางระหว่างโบกี้มีตัวอักษรวิ่ง (สีแดง) บอกความเร็วขณะนั้น และสถานีต่อไปด้วย (ขอบคุณภาพจากเวบไซต์)



ผ่านสถานี

เช็คชานชาลาที่รถจะเข้าและชานชาลาที่เราจะต่อในขบวนต่อไป



พอรถไฟออกไปจากสถานีไปเข้าสู่เขตเยอรมัน ผู้คนเยอะขึ้น ช่วงจากบาเซิลไปไฟร์บูร์กรถใช้ควาเร็วประมาณ 150 กม/ชั่วโมง เราต้องเปลี่ยนรถขบวนใหม่ที่แฟรงเฟิร์ทแอร์พอร์ต ไปที่ Duisberg โดยผ่านเมืองโคโลน ช่วงนี้รถวิ่งเร็วเกือบ 300 กม/ชม. 

เราต้องรอขบวนจาก Duisberg ไปอัมสเตอร์ดัมอีกร่วม 20 นาที กว่าจะได้ไป กว่ารถขบวนท้องถิ่นนี้จะผ่านเมือง Anhram (ไม่แน่ใจชื่อ) ในเขตเนเธอร์แลนด์ก็มืดแล้ว และไปถึงอัมสเตอร์ดัม ก็ 2 ทุ่มกว่า 


สถานีแฟรงเฟิร์ทแอร์พอร์ต




ผ่านเมืองในเยอรมัน

สถานีดัสเซลดอร์ฟ

ถึงสถานี Amsterdam Centraal ก็วิ่งหาเนทและตั๋วรถรางสิครับ ได้ซิมยุโรป ราคา 29.5 ยูโร ใช้ได้ทั่วยุโรป ยกเว้นสวิสกับอังกฤษ เอาก็เอา(วะ) เพราะมืดแล้วจะไปยังไงถ้าไม่มีอากู๋...แต่ไม่ยากอย่างที่คิด ขึ้นรถรางไปซื้อตั๋วด้านบนแบบ 1 ชั่วโมง ราคา 2.95 ยูโรต่อใบ ลุงเห็นหน้าแปลกเลยถามว่าจะไปไหน เราบอกชื่อโรงแรม ลุงแกให้บอกว่าถนนอะไร? พอดีมีเนทเลยเอาชื่อโรงแรมและถนนให้แกดู แกร้องว่า I see แล้วบอกนั่งไปเดี๋ยวจะเรียก ก็ถึงโรงแรมด้วยความปลอดภัย ก่อนออกไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเวียตนามกัน
ทุลักทุเลมาก จากต้องเปลี่ยนรถไฟ 2 ครั้ง นี่ต้องเปลี่ยน 4 ครั้ง จนคุณภรรยาหน้าซีดเพราะลากกระเป๋า มีครั้งหนึ่งที่ Basel SBB ทางขึ้นต้องเดินตามบันไดสู่สะพานลอยสูง ชาวสวิสใจดีช่วยเธอยก เพราะเรา 3 คนต้องดูแลของใครของมัน ซึ่งมีเป้หนึ่งใบ กระเป๋าใหญ่ 20 นิ้วอีกหนึ่ง...ถึงแม้จะมีเหตุการต้องแก้ไข แต่เจอน้ำใจชาวสวิสแบบนั้นก็หายเหนื่อยล่ะครับ


กับรถรางอัมสตอร์ดัม


สถานี Amsterdam Centraal

👉สถานีอัมสเตอร์ดัมสวยงามมาก ถ้ามองจากด้านนอกก็เหมือนพิพิธภันฑ์ยังไงยังั้น .... เราลงรถรางสีน้ำเงินขาว แล้วเดินลากกระเป๋าเข้าที่พัก ซึ่งเป็นแบบ Hostel แต่มีห้องน้ำในตัว พอไปถึงเราสามคนกลับได้ห้องพักแบบมีคนอื่นร่วมด้วย 2 เตียงเลยขอเปลี่ยนห้องใหม่โดยเอาห้องแบบพัก 1 คนและพัก 2 คน ซึ่งโชคดีมีห้องว่าพอดี โดยเพิ่มเงินอีกไม่มากนัก

พรุ่งนี้เราจะพาคุณๆออกไปชมอัมสตอร์ดัมกันครับ สำหรับวันนี้ขอพักก่อนละกัน👈


💘💘💘ขอบคุณที่ติดตามครับ💘💘💘


ลาด้วยภาพรถรางหน้าสถานีรถไฟอัมสตอร์ดัมเซ็นทราล


_________________