วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561

+ เที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 3 ... ปราสาทมัตสึโมโตะ & ทากายาม่า +



อ่าน : เที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 2 ... ณ ฟูจิซัง


การเดินทางท่องเที่ยวแบบส่วนตัวในญี่ปุ่นของเราบล๊อกนี้เป็นบล๊อกที่ 3 แล้วนะครับ หลังจากที่บล๊อกแรกเราตระเวณโตเกียวกันมา วันที่ 2 ก็เที่ยวแถวๆภูเขาไฟฟูจิ และวันนี้เป็นวันที่สามในญี่ปุ่น เราจะเดินทางออกจากที่พักที่โรงแรม Sawa Hotel เป้าหมายเราอยู่ที่การชมปราสาทมัตสึโมโตะ และ Little Tokyo ที่ทากายาม่า โดยจะแวะพักที่ Service Area (SA) ริมถนนใหญ่ใกล้ๆทะเลสาย Suwa กันในช่วงเช้าครับ


ภูเขาไปฟูจิ..จากโรงแรมที่พัก


วันนี้เราจะต้องเดินทางไกลผ่านเขาที่เรียกว่า Japan Moutain ระยะทางกว่า 200 กม. แต่ช่วงเช้าอากาศดีๆแบบนี้เราจะแวะชมเขาฟูจิ และ Say Goodbye เธอก่อน ที่สวนโออิชิ หรือ Oishi Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะริมทะเลสาบกาวากูชิโกะ และเป็นอีกจุดหนึ่งที่มองเห็นเจ้าฟูจิซังได้สวยงามมาก แนะนำว่าถ้ามาแถวนี้อย่าลืมมาแวะกันนะครับ.


แผนการเดินทางวันนี้
จากซาวะโฮเต็ล - สวนโออิชิ - พักทานมื้อเช้าแบบสายๆที่ริมทะเลสาบสุวะ - ปราสาทมัตสึโมโตะ - และสิ้นสุดที่ทากายาม่า


สวนโออิชิ (Oishi Park)


ในสวนสาธารณะโออิชิ (Oishi) หรือถนนสายดอกไม้ ซึ่งเป็นจุดชมวิวของภูเขาไฟฟูจิ(Fuji) คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับการชมถนนที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ที่มีความยาวถึง 350 เมตร ในช่วงปลายเดือนเมษายน จนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ถนนดอกไม้สายนี้จะเต็มไปด้วยต้นฟล็อกซ์ที่บานสะพรั่งดูคล้ายพรมสีชมพู ในช่วงเวลาเดียวกัน ทุ่งดอกมัสตาร์ดก็จะบานสีเหลืองอร่าม คุณสามารถถ่ายรูปดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามเหล่านี้ได้พร้อมกับพื้นหลังที่เป็นภูเขาไฟฟูจิ(Fuji) ….. การได้เดินอยู่บนถนนดอกไม้สายนี้ และได้ชมความงามของภูเขาไฟฟูจิ(Fuji)จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและลืมเวลาไปเลย ช่วงเวลาที่เหมาะกับการชมดอกลาเวนเดอร์มากที่สุด คือปลายเดือนมิถุนายน ไปจนถึงต้นเดือนกรกฎาคม มาดื่มด่ำกับความงามของสวนสาธารณะโออิชิ(Oishi) ที่ที่จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับดอกไม้ตามฤดูกาลกันเถอะ ในฤดูหนาว ภูเขาไฟฟูจิ(Fuji)จะสวยงามเป็นพิเศษ!












*************


จากสวนโออิชิ ไป ทะเลสาบสุวะ
ออกจากโออิชิปาร์ค เราเดินทางเยื้องทางตะวันตกเฉียงเหนือนิดๆ ผ่านเมืองสำคัญเช่น โคฟุ (Kofu) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ตั้งอยู่ในหุบเขา ตามทางที่ผ่านจะเห็นสวนพลับมากมาย หลายๆที่ยังเห็นลูกพลับสีเหลืองเต็มต้นอยู่เลย ซึ่งทำให้ทีมเราตื่นตาตื่นใจไปด้วย บางครั้งก็ผ่านสวนแอบเปิ้ล แต่น้อย ... driver เราบอกว่าถ้าจะชมสวนแอบเปิ้ลญี่ปุ่นต้องผ่านอีกเส้นทางครับ ... บนเขาจะเห็นหิมะขาวๆคลุมอยู่ เขาบอกว่า Japan Alps ก็ต่อจากเขานี้แหละครับ ใส่ไว้ในลิทส์ก่อนละกัน เอาไว้มาคราวต่อไป..


ระหว่างทางไปทะเลสาบสุวะจะเห็นสวนพลับตลอดเส้นทาง


เราเดินทางต่อไปทานมื้อสายที่จุด Service Area (บริเวณจอดพักรถขนาดใหญ่สำหรับผู้เดินทาง) หรือที่เขาเขียนป้ายย่อๆว่า SA ซึ่งมีอยู่เป็นระยะๆ ในบริเวณนั้นจะมีร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ปั๊มน้ำมัน ห้องน้ำ หรือแม้แต่ร้านช้อปปิ้งของที่ระลึกครับ ... ส่วนอีกแบบคือ PA หรือ Parking Area นั้นจะเป็นที่จอดรถเหมือนกัน จะมีปั๊มนำมัน ห้องน้ำ และอาจจะมีที่กดเอาน้ำด้วย ซึ่งมีพื้นที่เล็กกว่า SA ครับ ... ที่ๆเราไปพักทานมื้อสายในวันนี้คือ Lake Suwa SA ครับ ข้าง Highway บนเนินเขา มองเห็นทะเลสายสุวะได้เป็นมุมกว้าง


ลักษณะของทะเลสาบสุวะ


ทะเลสาบซสุวะ (Lake Suwa) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในชินชู ตั้งอยู่ทางตอนกลางของลุ่มน้ำซสุวะ ทางตอนกลางของจังหวัดนากาโนะ ที่นี่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำเทนยุ ซึ่งไหลผ่านเมืองโอคายะไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามและสุดท้ายไหลไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ในอดีตผิวน้ำในทะเลสาบจะแข็งเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว ทำให้สามารถสนุกกับการเจาะรูน้ำแข็งเพื่อตกปลาหรือการเล่นสเก็ตน้ำแข็งในทะเลสาบ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันอากาศในหน้าหนาวที่อุ่นขึ้นทำให้พื้นผิวน้ำไม่เป็นน้ำแข็งทั้งหมด ระหว่างช่วงที่พื้นผิวของทะเลสาบเป็นน้ำแข็งทั้งหมด คุณจะได้สัมผัสกับประสบการณ์การแตกของพื้นผิวน้ำแข็งเสียงดังและการแตกของพื้นผิวก็จะเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ กลไกของปรากฎการณ์นี้คือ น้ำแข็งเกิดการละลายเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงในตอนกลางวันและในตอนกลางคืนอุณหภูมิลดต่ำลงทำให้น้ำแข็งเกิดการหดตัว ทำให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าว ปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้เรียกว่า โมมิวาตาริ พิธีกรรมของศาสนาชินโตที่เรียกว่า โมิวาตาริชินจิ จะใช้ปรากฎการณ์ดังกล่าวในการทำนายสภาพอากาศ การเกษตรกรรมหรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของโลกโดยใช้ลักษณะของรอยแตกภายในทะเลสาบ กีฬาที่นิยมเล่นในทะเลสาบได้แก่ การแล่นเรือสำราญและการเล่นวินด์เสิร์ฟ คุณสามารถสนุกกับการล่องเรือในทะเลสาบได้อย่างง่ายดายด้วยเรือนำเที่ยวหรือรถสะเทินน้ำสะเทินบก ในเดือนสิงหาคมจะมีเทศกาลแสดงดอกไม้ไฟที่เรียกว่า Lake Suwa Festival's firework ซึ่งจัดในทะเลสาบ และกิจกรรมดังกล่าวก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายรอบ ๆ ทะเลสาบรวมทั้งน้ำพุร้อน เช่น Kamisuwa onsen, Shimosuwa Onsen โรงแรมแบบญี่ปุ่นเล็ก ๆ ที่มีออนเซน และศาลเจ้าสุวะเป็นต้น นอกจากนี้ที่นี้ยังมีศูนย์ Lake Suwa-ko Geyser Center ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับ Kamisuwa Onsen คุณจะได้เห็นการปะทุของน้ำพุร้อน ในอดีตน้ำพุร้อนดังกล่าวมีการปะทุสูงเป็นอันดับสองของโลก อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน น้ำพุร้อนที่นี่ได้สูญเสียความดันไปบางส่วนและไม่สามารถปะทุได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นปัจจุบันจึงได้มีการอัดอากาศเข้าไปเพื่อให้เกิดการปะทุของน้ำพุร้อน นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสวนที่อยู่ใกล้กับ Lake Suwa-ko Geyser Center และมีทางเดินที่เรียกว่า ashiyu ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินเล่นริมทะเลสาบ

CR : https://www.japanhoppers.com/th/chubu/tateshina_suwa/kanko/385/
เวปไซต์ https://suwakanko.jp/en/









*******


จากทะเลสาบสุวะ ไป ปราสาทมัตสึโมโตะ
จากทะเลสาบสุวะเราเดินทางออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อไปชมปราสาทมัตสึโมโตะ หรือ ปราสาทอีกาที่คนชอบเรียกกัน ซึ่งจากทะเลสาบสุวะไปจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง จนถึงเมืองมัตสึโมโตะที่ชื่อเดียวกันกับชื่อปราสาท ... ผ่านเมืองเข้าไปจะเห็นปราสาทตั้งอยู่บนพื้นที่ราบ ระนาบเดียวกันกับเมือง เข้าที่จอดรถแล้วเดินข้ามถนนไปจะเข้าสู่รั้วปราสาทรอบนอก ถ้าจะเข้าด้านในและขึ้นชมปราสาทจะต้องซื้อบัตรเข้า 610 เยนต่อคนครับ




ปราสาทมัตสึโมโต  (Matsumoto Castle)


ปราสาทมัตสึโมโตะ ตั้งอยู่ในเมืองมัตสึโมโตะ จังหวัดนางาโนะ เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากกรุงโตเกียว จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างประเทศไปเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก ... ปราสาทนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า ปราสาทอีกา เนื่องจากผนังปราสาทมีสีดำ และปีกด้านต่างๆของปราสาทแผ่กางออกเหมือนปีกนก เป็นตัวอย่างหนึ่งของปราสาทที่สร้างบนพื้นที่ราบ ไม่ใช่บนเนินเขาหรือกลางแม่น้ำ




ประวัติความเป็นมาของปราสาท .... ย้อนหลังไปได้ถึงยุคสงคราม ในช่วงเวลานั้น กองทัพโองาซาวาระได้สร้างป้อปราสาทขึ้นในบริเวณนี้ มีชื่อเรียกว่า ปราสาทฟุกะชิ ต่อมาป้อมปราสาทได้ถูกกองทัพทาเคดะยึดครองไปได้ และตกเป็นของโทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ในเวลาต่อมา ต่อมาเมื่อโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ได้มีคำสั่งให้อิเอะยะซุย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในภูมิภาคคันโต ก็ได้มอบปราสาทให้อิชิงะวะ โนะริมะสะ เป็นผู้ดูแลต่อ โนริมะสะและยะสุนะงะ ผู้เป็นบุตรชาย ได้สร้างหอปราสาทและส่วนอื่นๆ ได้แก่ หอปราสาท 3 หลัง หอดอนจอน หอเล็กทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อาคารที่พัก ประตูกลอง ประตูดำ คูปราสาท ปีกอาคารสามชั้น และชั้นย่อยๆในปราสาท ซึ่งทั้งหมดยังคงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน เชื่อกันว่าพื้นที่ปราสาทส่วนใหญ่แล้วสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อประมาณปี 1593-1594 ….. ในปี พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) ซึ่งเป็นช่วงยุคการปฏิรูปเมจิ หอปราสาทถูกนำออกประมูลขายและกำลังจะถูกรื้อถอน แต่อิจิคาวะ เรียวโซ ได้ร่วมกับชาวเมืองมะสึโมะโตะช่วยกันรักษาปราสาทไว้ ประตูดำชั้นสองและกำแพงข้างประตูถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) และต่อมาประตูกลองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) ปัจจุบันปราสาทมะสึโมะโตะได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น






ด้านหน้าปราสาท...ใกล้ที่จอดรถ






 ยังพอเห็นใบไม้แดงริมคูคลองรอบปราสาท




รถลากแบบญี่ปุ่น



.....รู้ไว้ใช่ว่า....

ปราสาทญี่ปุ่น
ปราสาทญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 城 shiro) เป็นป้อมสนามมักสร้างขึ้นจากไม้และหิน ปราสาทมีวิวัฒนาการจากคุกทหารสร้างด้วยไม้เมื่อศตวรรษต้น ๆ และกลายมาเป็นปราสาทที่เป็นที่รู้จักกันในศตวรรษที่ 16 ปราสาทในประเทศญี่ปุ่นสร้างขึ้นเพื่อคุ้มกันบริเวณพื้นที่สำคัญหรือพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น ท่าเรือ สะพานข้ามแม่น้ำ สะพานลอย และเกือบจะคุ้มกันทั้งภูมิประเทศ

แม้ว่าปราสาทจะถูกสร้างให้คงอยู่และใช้หินในการก่อสร้างมากกว่าอาคารทั่ว ๆ ไป ปราสาทส่วนใหญ่ยังสร้างด้วยไม้ และปราสาทหลายแห่งพังทลายอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคเซ็งโงะกุ (1467–1603) เนื่องจากปราสาทเพิ่งถูกสร้างใหม่ ๆ ในยุคนั้น แต่ในเวลาต่อมา ปราสาทได้รับการบูรณะใหม่ ทั้งในยุคเซ็งโงะกุ ยุคเอะโดะ (1603–1867) หรือในยุคปัจจุบัน โดยกลายเป็นโบราณสถานหรือพิพิธภัณฑ์ ปัจจุบัน ในประเทศญี่ปุ่นมีปราสาทมากกว่า 100 แห่งที่ยังคงสภาพเดิมหรือเหลือเพียงบางส่วน มีการประมาณไว้ที่ 5,000 แห่ง[1] ปราสาทบางแห่งเช่นที่มะสึเอะ และโคชิ ทั้งสองแห่งสร้างใน ค.ศ. 1611 ยังคงสภาพเดิม ไม่ได้รับภัยคุกคามใด ๆ ปราสาทฮิโระชิมะถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลาย และบูรณะขึ้นใหม่ใน ค.ศ. 1958 และตั้งให้เป็นพิพิธภัณฑ์[2]

ตัวอักขระที่แปลว่าปราสาท '城' ที่อ่านว่า ชิโระ (คันจิในภาษาญี่ปุ่น) เมื่อเขียนติดกับคำคำหนึ่งจะอ่านเป็น โจ (คันจิที่แผลงจากภาษาจีน) เช่นในชื่อปราสาท ตัวอย่างเช่น ปราสาทโอซะกะ เรียกว่า โอซะกะโจ (大阪城) ในภาษาญี่ปุ่น




ไกลออกไปคือเมืองมัตสึโมโตะ


ทางเข้าชมปราสาท ต้องซื้อบัตรเข้า 610 เยน
เมื่อเดินข้ามสะพานด้านบนเลยประตูนี้ไปหน่อยจะมีที่ขายบัตรเข้าชมปราสาท



น่าจะเป็นผู้สร้างปราสาท (?)
เลยประเข้าชมปราสาทจะเจอแผ่นหินจารึกนี้อยู่ด้านขวามือ



สถาปัตยกรรม
ปราสาทญี่ปุ่นสร้างขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่ทุกแห่งจะสร้างตามแผนผังสถาปัตยกรรมที่นิยามไว้ดีพอสมควร ยะมะจิโระ (山城) หรือ "ปราสาทภูเขา" เป็นประเภทของปราสาทที่พบมากที่สุด และป้องกันภัยธรรมชาติได้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ปราสาทหลายแห่งที่สร้างบนที่ราบแบน (平城, ฮิระจิโระ) และบนเนินต่ำ (平山城, ฮิระยะมะจิโระ) จะพบได้น้อย และปราสาทห่างไกลบางแห่งสร้างบนเกาะหรือทะเล ทั้งธรรมชาติและจำลอง หรือตามชายฝั่ง ความรู้เกี่ยวกับการสร้างและเสริมความแข็งแกร่งให้ปราสาทมีชื่อเรียกว่า ชิกุโจ-จุสึ (ญี่ปุ่น: 築城術)

CR :  https://th.wikipedia.org/



ด้านหน้าปราสาทเมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้ว

เมื่อเข้าไปด้านในแล้วจะมีที่ให้ข้อมูลและห้องน้ำ ... เมื่อเดินตามถนนเข้าไปถึงตัวปราสาทจะมีเจ้าหน้าที่แจกถุงพลาสติกให้ใส่รองเท้า (ต้องถอดรองเท้าเมื่อเข้าชมปราสาท) ถือติดตัวไปด้วย และดูเหมือนว่าชั้น 5-6 จะไม่ให้ถ่ายภาพนะครับ ต้องดูป้ายด้วย เดี๋ยวจะโดนเจ้าหน้าที่ตัวโตดุเอา ... ชั้นแรกๆจะแสดงภาพการออกแบบปราสาท (ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ลิ่มต่อกัน) และเรื่องราวที่เกิดขึ้น พอชั้นที่ 6 ซึ่งบันไดขึ้นค่อนข้างชันและแคบ เจ้าหน้าที่ต้องทำเป็น oneway ข้างบนนั้นเป็นที่โล่งๆ เอาไว้ให้เป็น commander center หรือ ระดับสั่งการรบไว้ใช้ครับ จุดเด่นอีกอย่างเมื่อคุณๆขึ้นไปถึงชั้น 6 หรือชั้นบนสุด จะมองเห็นเมืองมัตสึโมโตะในมุมสูงชัดเจนครับ


มีคนแต่งชุด....มาให้ถ่ายภาพด้วย





ชุดเกราะทหาร


วิวคลองน้ำหน้าปราสาท


*********


จากมัตสึโมโตะ ไป ทากายาม่า
เราเดินทางต่อจากปราสาทมัตสึโมโตะไปตามเส้นทาง 158 ไปเมืองทากายาม่าซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขา เส้นทางต้องขึ้นเขาและเป็นทางแบบเลนเดียวสวนกันไปมา วกวนพอควร บางช่วงยังเห็นถนนเพิ่งเกรดหิมะออกไปข้างทาง ซึ่งในบริเวณนี้จะมีสกีรีสอร์ทตั้งอยู่ด้วย เลียบเส้นทางมีเขื่อนกั้นน้ำไล่ระดับขึ้นเขาไป 3 เขื่อน ตรงเขื่อนสุดท้ายเรานั่งรถผ่านสันเขื่อนไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วเข้าอุโมงค์เป็นระยะๆ หลายอุโมงค์ด้วยกัน จนสุดท้ายเราออกไปแวะเข้าห้องน้ำที่ SA ก่อนเข้าทากายาม่าอีกประมาณ 10 กม.

แวะพักที่ SA (Service Area) ก่อนถึง Takayama


เมืองทากายาม่ายามบ่าย

เราถึงทากายามา่าช่วงบ่ายสองโมงเศษๆ สิ่งแรกที่ทำคือหาที่ทานมื้อเที่ยงแบบหิวมากทานกันก่อน เมื่อมาทากายาม่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวนึกถึงคือเนื้อฮิดะ (Hida) ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดในทากายาม่าเลย คือนุ่มมากเหมือนจะละลายในปากเลยก็ว่าได้ ... เราได้ร้านตรงหัวมุมถนน (น่าจะชื่อว่า Hidagyu Marake ..ถ้าจำไม่ผิด) มีที่จอดรถอยู่ด้านข้าง ไม่รับจองทางโทรศัพท์ ซึ่งปกติคนจะมาเข้าคิวกันมากมาย เราโชคดีที่รอไม่นานก็ได้โต๊ะนั่ง เราสั่งแบบเป็นชุดมาเพื่อ 6 คน ราคารวมเบียร์ท้องถิ่นด้วย 2 ขวดก็ประมาณ 16,000 กว่าเยนนิดหน่อย...เนื้ออร่อยสมชื่อครับ





ทานอาหารเสร็จเราไปเช็คอินเข้าที่พักที่ Hodakaso Yamano Iori ซึ่งเป็นที่พักสไตล์ญี่ปุ่น มีออนเซ็นแแบบรวม (แต่ไม่ได้ใช้) มีห้องน้ำในตัว ที่นอนบนฟูกที่ปูบนเสื่อตาตามิ ตู้เสื้อผ้ามีชุดยูกะตะเตรียมไว้ ห้องเล็กๆด้านข้าใมีเก้าอีกับโตะนั่งไว้ให้ มีกาต้มน้ำร้อนด้วย ส่วนอาหารเช้านั้นเสริร์ฟปบบอาหารญี่ปุ่น (แต่เขามีให้เลือกตอนเย็นนะว่าจะรับแบบตะวันตก หรือแบบญี่ปุ่น) ... เวลาจะเข้าไปต้องถอดรองเท้าไว้ที่เก็บรองเท้าด้านหน้า แล้วใส่รองเท้าแตะแบบญี่ปุ่นเข้าไป ด้วยความเป็นระเบียบของโรงแรม (เราเรียกกันว่าคุณนายระเบียบ) แม้แต่ที่เก็บรองเท้าจำนวนกี่ที่เธอก็เตรียมและมีชื่อกำกับไว้เรียบร้อย และที่เก๋ไก๋อีกอย่างคือป้ายบอกชื่อผู้เข้าพักหน้าโรงแรมครับ วันนั้ดูเหมือนว่าจะมีชื่อคนไทยเข้าพัก 3 เจ้า ส่วนจะกี่ห้องนั้นไม่รู้เหมือนกัน...โรงแรมอยู่ห่างย่านเมืองเก่า Little Kyoto เพียง 350 เมตรเท่านนั้นครับ เราเก็บของเสร็จก็จะไปเดินต่อกัน เพราะหน้านี้มืดเร็วมาก



คืนนี้เราพักที่นี่ Hodakaso Yamano Iori



เมืองทาคายาม่า (Takayama) เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีทัศนียภาพสวยงาม เพราะถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและสายน้ำจนไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของเมืองก็สามารถเห็นทิวทัศน์อันงดงามได้ ทั้งยังเป็นเมืองที่อนุรักษ์บ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นโบราณเอาไว้ในสภาพดั้งเดิม ทำให้สามารถมาเดินเที่ยวชมความเก่าแก่และความสวยงามของวัฒนธรรมญี่ปุ่นโบราณกันได้ที่นี่ แถมยังมีอาหารขึ้นชื่อสุดอร่อยหลายอย่างที่ต้องไม่พลาดมาลิ้มลอง



เมืองเก่าทากายาม่ายามเย็น



ฮิดะ ทาคายามะ (Hida Takayama) ดินแดนในอ้อมกอดแห่งขุนเขาในตอนเหนือของจังหวัดกิฟุ (Gifu) เป็นเมืองที่ยังคงบรรยากาศและสภาพบ้านเรือนของญี่ปุ่นในสมัยโบราณไว้ให้ได้เห็นอยู่ในปัจจุบัน นับจากที่ได้รับการจัดให้อยู่ในระดับสามดาวเคียงคู่กันกับเกียวโต (Kyoto) และนารา (Nara) โดยหนังสือนำเที่ยวชื่อดังระดับโลกดินแดนแห่งนี้ก็ได้ต้อนรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นจำนวนมาก และเนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ของที่นี่มักจะรวมตัวกันอยู่ในตัวเมือง แค่การเดินเล่นเที่ยวชมก็สร้างความสนุกสนานได้ไม่น้อย

ซันมะจิ (Sanmachi) เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในตัวเมืองแห่งนี้ ที่สามารถเดินไปได้จากสถานีรถไฟทาคายามะโดยใช้เวลาเพียง 10 นาที เป็นศูนย์กลางของเขตเมืองรอบปราสาท โดยชื่อ “ซันมะจิ (Sanmachi)” นี้เป็นชื่อเรียกรวมของถนน 3 เส้นซึ่งนับรวมแหล่งบ้านเรือนของเหล่าพ่อค้าวาณิชย์อย่างคะมิโจ (Kamicho) และชิโมะโจ (Shimocho) และได้รับการขนานนามว่าเป็นย่านเมืองเก่า (Old Town) …. ย่านเมืองเก่าของทาคายามะนั้น ยังคงเต็มไปด้วยบ้านเรือนและคฤหาสน์ของเหล่าพ่อค้าวาณิชย์อายุเก่าแก่ยาวนานกว่า 100 ปี ให้เราได้ชมแหล่งที่อยู่อาศัยที่สร้างโดยคหบดีผู้มั่งคั่งในอดีต ซึ่งรวมถึง “คฤหาสน์ตระกูลโยชิจิมะ (Yoshijima Heritage House)” แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังด้วย (มีค่าเข้าชม)

ณ ย่านเมืองเก่าแห่งนี้ ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ราวกับขึ้นไทม์แมชชีนย้อนอดีตมาสู่ญี่ปุ่นในยุคโบราณ ตามถนนหนทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์ชื่อดังของท้องถิ่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสาเกญี่ปุ่นหรือมิโซะ รวมถึงบ้านเรือนเก่าแก่ที่นำมาดัดแปลงเป็นคาเฟ่และร้านอาหารสวยๆ จำนวนมาก .... ทุกปีเมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ย่านเมืองเก่าแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกวิสทีเรีย (Wisteria) หรือฟูจิ (Fuji) บานสะพรั่ง ให้เราได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามของม่านดอกไม้สีม่วง ดอกวิสทีเรียเล็ก ๆ สีม่วงที่เรียงร้อยกันราวเถาองุ่นนี้คือสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิในญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี ในช่วงกลางวันจะครึกครื้นไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่หากได้พักค้างแรมในเมืองแห่งนี้สักหนึ่งคืนก็จะมีโอกาสได้เดินเล่นในยามเช้าและค่ำคืนเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศเงียบสงบของซันมะจิในยามที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจไม่น้อย





วันนี้เราจบวันด้วยการนอนในที่พักแบบญี่ปุ่นแท้ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ (อุณหภูมิลดลงถึง 1 องศาเซลเซียส) แต่เพราะความเหนื่อยล้าในการเดินทางไกล เราจึงหลับไปแบบลืมความหนาว จนมารู้ว่าเย็นมากอีกครั้งก็เมื่อจะอาบน้ำในตอนเช้านั่นแหละ โอแม่เจ้ามันเย็นมากๆ...แล้วเจอกันใหม่ในบล๊อกต่อไปครับ


ขอบคุณที่ตามอ่านครับ



สะพานนากาบาชิ (Nakabashi bridge)ในยามเย็น




วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2561

+ เที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 2 ... รอบๆ ฟูจิซัง +



อ่าน : เที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 1 ... ณ โตเกียว

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2018   การเที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของเรา (ครอบครัวเรา 5 คน) ก็มาถึงวันที่ 2 แล้วนะครับ วันนี้เราวางโปรแกรมไว้ว่าจะเที่ยวบริเวณภูเขาไฟฟูจิยาม่า หรือ ฟูจิซัง (Fujisan) ที่เราชอบเรียกกันนั่นแหละครับ เรื่องราวของภูเขาไฟบนโลกนี้มันมีทั้งที่ดับแล้วและยังไม่ดับนะครับ อย่างเช่นเจ้าฟูจินี่ก็นับว่าเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ตายหรือยังไม่ดับครับ หรือเขาเรียกว่า Active Volcano นั่นแหละครับ ส่วนถ้าจะปะทุหรือจะเกิดเหตุการขึ้นเมื่อไหร่นั้น ประเทศที่เจริญทางเทคโนโลยีมากๆ เช่นญี่ปุ่นเขาก็จะมีวิธีการเตือนครับ เช่น ส่งสัญญาณเตือนภัยเข้าโทรศัพท์มือถือของประชาชนครับ ส่วนการหลบภัยนั้นเขาก็ทำเป็นเส้นทางไว้พร้อมกับวิธีการ หรือ procedure ไว้ให้ประชาชนเขารับทราบ .... นักท่องเที่ยวอย่างเราก็รอเขาบอกและทำตาม

วันนี้เราจะไปกัน 3-4 ที่ ตามสภาพร่างกายของทีม คือ จุดแรกจากโรงแรมที่โตเกียวเดินทางไปทะเลสาบยามานากา (Lake Yamanaka) เพื่อชมภาพฟูจิแบบสวยๆ ชัดๆ (หมายถึงสภาพอากาศดีด้วย) จากนั้ก็ไปหมู่บ้านน้ำใส (Oshino Hakkai Village) แล้วไปทานมื้อเที่ยงกันก่อน เสร็จมื้อเที่ยวันก็จะไปเจดีย์ห้าชั้น (Chureito Pagoda) ซึ่งอยู่ในบริเวณ ศาลเจ้า Arakura Sengen แล้วไปขึ้นกระเช้าที่เรียกว่า Mt. Fuji Panoramic Ropeway เพื่อขึ้นไปชมเจ้าฟูจิในตอนเย็นๆ ก่อนจะลงมาเช็คอินเข้าที่พักที่ Kawaguchigo Business & Resort Sawa Hotel ตามเส้นทางด้านล่างครับ



แผนการเดินทางในวันนี้



เนื่องจากน้องคนขัยรถบอกเราว่า 23-25 เป็นวันหยุดยาว ชาวญี่ปุ่นเลยออกไปเที่ยวแถวๆฟูจิกันเยอะมาก มากจนชนิดที่เรียกว่าระยะทาง 128 กม. จากโตเกียวไปแถวๆพื้นที่ฟูจิรถติดหนึบ ต้องขับกว่า 6 ชั่วโมงบนทางด่วนนั่นแหละครับ วันนี้เป็นหยุดวันสุดท้ายขาออกจาโตเกียวคงวิ่งสะดวก และก็จริงๆตามที่เราคาดหวังครับ เพียงชั่วโมงเศษๆเราก็มาถึงทางเข้าทะเลสาบ Yamanakako แล้ว (คำว่า "Ko" คงแปลว่าหนองน้ำหรือทะเลสาบ)


เส้นทางออกจากโตเกียว


Park หรือ ที่พักระหว่างทาง มีทุกอย่างเหมือย ปตท. บ้านเราแต่พื้นที่มากกว่า


แล้วฟูจิซังก็โผล่เขาออกมา (ภาพจากบนรถ)

พอถึงทะเลสาบ เรามองเห็นภาพเขาฟูจิสวยงามยืนตระหง่านอยู่ด้านบนทะเสาบ แทบอดใจไม่ไหว กดชัตเตอร์กล้องจนรัวแบบไม่ยั้ง ตรงไหน มุมไหน สวยไปหมด บอกตรงๆว่าเลือกภาพมารีวิวยากมากๆ



ฟูจิซัง (ภาพจากบนรถ)


ทะเลสาบยามานากาโกะ มีความสูง 980.5 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีพื้นที่ 6.78 ตารางกิโลเมตร ระดับความลึกสูงสุด 13.3 เมตร

ทะเลสาบยามานากาโกะ (Yamanakako) ตั้งอยู่ทางเชิงเขาฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของภูเขาไฟฟูจิ(Fuji) เกิดจากการประทุของภูเขาไฟฟูจิ (Fuji) ... นอกจากทะเลสาบยามานากาโกะ (Yamanakako) แล้วยังมีทะเลสาบขนาดใหญ่อื่นๆอีก รวมแล้วมีทะเลสาบทั้งสิ้น 5 แห่ง ตั้งอยู่ที่เชิงเขาทางทิศเหนือของภูเขาไฟฟูจิ เรียงตัวกันเป็นรูปโค้ง เรียกทะเลสาบทั้ง 5 แห่งนี้ว่า ฟูจิโงะโกะ (Fujigoko) หรือทะเลสาบฟูจิทั้ง 5




จากเรื่องเล่าในอดีตที่กล่าวกันว่า ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษ ที่ 16 ฮะเสะงะวะ คะกุเงียว ได้ไปทำพิธีชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ที่ทะเลสาบทางเชิงเขาของภูเขาไฟฟูจิ(Fuji) จนทำให้เกิดเป็นพิธีกรรมการทางศาสนาขึ้น ซึ่งเป็นพิธีกรรมของกลุ่มคนที่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่สถิตอยู่ในภูเขาไฟฟูจิ (Fuji) (ฟูจิโค) พิธีชำระล้างจิตใจนี้ จะทำการเดินวนไปรอบๆ ทะเลสาบและหนองน้ำที่อยู่บริเวณเชิงเขาทั้งหมด 8 แห่ง เรียกพิธีนี้ว่าอุฉิ ฮัคคะอิ เมะงุริ ….. นอกจากนี้ในบันทึกที่เชื่อกันว่าเป็นบันทึกที่ คะคุเงียว เขียนด้วยลายมือของตัวเองในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 16ได้เขียนยกตัวอย่างหนองน้ำหนึ่งในแปดหนองน้ำที่คะคุเงียว ได้ไปทำพิธีชำระล้างจิตใจก็คือทะเลสาบยามานากาโกะ (Yamanakako) นั่นเอง ... แม้แต่ในหนังสือซังจู อิฉินิฉิ โนะ โอะมะกิ ที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1733 จิคิเงียว มิโระคุ ยังได้หยิบยกเรื่องทะเลสาบและหนองน้ำทั้ง 8 แห่งมาเขียนไว้ในฐานะเป็นดินแดนแห่งการแสวงบุญในการทำพิธีอุฉิ ฮัคคะอิ เมะงุริ ด้วย

จากนั้นไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด ทะเลสาบทั้ง 5 แห่ง หรืออีกชื่อคือ ทะเลสาบฟูจิทั้ง 5 ที่มีทะเลสาบยามานากาโกะ (Yamanakako) รวมอยู่ด้วยนั้นก็ยังคงได้รับการกล่าวให้เป็นสถานที่สำหรับการมาแสวงบุญในการทำพิธีชำระล้างจิตใจไม่เปลี่ยนแปลง








ทะเลสาบยามานากา  เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ทะเลสาบทั้ง 5 บริเวณภูเขาไฟฟูจิ ตั้งอยู่ในจังหวัดยามานาชิ บริเวณทะเลสาบเหมาะแก่การประกอบกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ เช่น ล่องเรือ ตกปลา สกีน้ำ โต้คลื่น ว่ายน้ำ และชมทิวทัศน์ภูเขาไฟฟูจิ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ให้บริการกางเต้นท์ ทะเลสาบยามานากะเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนอิซุ และเป็น 1 ในบรรดาทะเลสาบทั้ง 5 แห่งที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมกันกับภูเขาไฟฟูจิ อุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนอิซุ และน้ำตกชิราอิโตะภายใต้ชื่อ "ฟุจิซัง - สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งบันดาลใจทางศิลปะ" เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา




💘💘💘💘


จากทะเลสายยามานากานั้นไปชมหมู่บ้านน้ำใส โอะชิโนะฮักไก (Oshino Hakkai) ส่วนหนึ่งของมรดกโลกทางวัฒนธรรมภูเขาฟูจิ (ขึ้นทะเบียน มิถุนายนปีเฮเซที่25) ผู้คนบูชาในฐานะบ่อน้ำของเทพเจ้า มาตั้งแต่สมัยโบราณ มีตำนานหลายเรื่องถูกเล่าต่อๆกันมา ... โอะชิโนะฮักไก(Oshino Hakkai) มีบ่อน้ำพุ 8 บ่อ หมู่บ้านโอะชิโนะมุระ(Oshino Mura) ในปัจจุบันครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลสาบมาก่อน แต่ภายหลังภูเขาฟูจิ (Fuji) ปะทุหลายครั้งทำให้ร่องเขาระหว่างเทือกเขาฟูจิซุโซโนะ (susono) กับเทือกเขามิซากะ (Misaka) ถูกกัดเซาะจนน้ำระบายออกไป ผ่านไปเป็นเวลานานทะเลสาบก็แห้งในที่สุด แต่ยังหลงเหลือบ่อน้ำพุซึ่งเป็นต้นน้ำของน้ำใต้ดินภูเขาฟูจิ (Fuji) บ่อน้ำพุเด่นๆก็คือโอะชิโนะฮักไก (Oshino Hakkai) ในปัจจุบันนั่นเอง ด้วยคุณภาพน้ำ, ปริมาณน้ำ, สภาพที่ยังได้รับการอนุรักษ์, และวิวอันสวยงาม ทำให้กระทรวงสิ่งแวดล้อมเลือกให้เป็นหนึ่งในร้อยแหล่งน้ำขึ้นชื่อของประเทศในปี1985 (ปีโชวะที่60) รวมถึงเป็นมรดกทางธรรมชาติของประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ วิวภูเขาฟูจิ (Fuji) ซึ่งมองจากโอะชิโนะฮักไก(Oshino Hakkai) และบริเวณโดยรอบยังงดงาม เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมของช่างภาพ



ภายในหมู่บ้าน Oshino Hakkai 


จุดเด่นของหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ 1. น้ำในบ่อน้ำในหมู่บ้านใสสะอาดจนมองเห็นพื้นดินเลย เมื่อมีปลาว่ายอยู่ก็มองเห็นได้ชัดด้วย  ภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีบ่อน้ำผุดซึ่งเป็นน้ำใต้ดินที่ไหลมาจากภูเขาไฟฟูจิ ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นน้ำที่สะอาดและมีความศักดิ์สิทธิ์ หากใครได้ดื่มก็จะมีอายุยืนยาว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ อุณหภูมิน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-12 องศา เราสามารถตักดื่มได้ตามอัธยาศัย ... ข้อที่ 2 คือมองเห็นเขาฟูจิ หรือฟูจิซังได้ชัดมาก (ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส) ... ข้อที่ 3 คือ เขาว่าปลาที่นี่อร่อย (ไม่ได้ชิมที่นี่นะ แต่ชิมที่ร้านอาหารใกล้ๆกัน อร่อยมากๆ) ... ข้อที่ 4 คือ สินค้าโอท้อปเลิศรส ... ข้อที่ 5 คือ อากาศดี เพราะรอบๆหมู่บ้านยังรักษาธรรมชาติไว้ดีเยี่ยม




เมื่อเข้ามาถึงหมู่บ้านตรงที่จอดรถ ก็สามารถแวะไปหาข้อมูลก่อนไปเดินชมหมู่บ้านได้ เขามีเอกสารแจกฟรีครับ ใกล้ๆกันก็มีห้องน้ำไว้บริการฟรีอีกด้วย .... วันนี้ไปถึงช่วงสายแล้ว นักท่องเที่ยวจึงมากันเกือบเต็มหมู่บ้านแล้ว ดูๆยังกะงานวัดบ้านเราเลยครับ



มองเห็นปลาคราปที่ว่ายในบ่อน้ำ


มุมที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายเซลฟี่กัน


ในหมู่บ้านมีคลองและสะพานข้ามสวยงาม



ใบเมเปิ้ลสีแดงยังพอมีให้เห็นอยู่


เดินชมธรรมชาติริมคลองในบริเวณหมู่บ้าน


รั้วทำเก๋มาก


น้ำใสมาก


ภายในหมู่บ้าน...ปลา และ ขนม ก็มีปิ้งขายด้วย


จากหมู่บ้านมองเห็นเขาฟูจิชัดมาก



💘💘💘💘


เดินทางต่อ..ไปทานมื้อเที่ยงกัน


ร้านอาหารปิ้งย่างแบบญี่ปุ่นที่เราไปทานกัน เป็นร้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมใช้ถ่ายไม้ธรรมชาติย่าง ไม่รับจอง เพราะแต่ละคนหรือกลุ่มเข้าไปนั่งแล้วจะใช้เวลาพอควร ทุกคนเข้าไปที่ร้านจะต้องสั่งอาหารคนละเซท ประมาณ 5000 เยน แต่ที่เด็ดของร้านที่ไม่ควรพลาดคือปลาสดๆ เอามาย่างครับ เจ้าของร้าบอกเราว่าชื่อปลา อาชา (ประมาณนี้ถ้าฟังไม่ผิด) อยู่ต้นน้ำ (upstream) มีเฉพาะที่ญี่ปุ่นด้วย ... เราสั่งมาด้วย ย่างสุกแล้วทานได้เกือบหมดตัว ยังงเลยว่าก้างปลาทำไมไม่ค่อยติดออกมาด้วย อร่อยจริงๆครับ ... ทีนี้ก็เมนูเสียบไม้ประเภทที่มาในเซทที่เป็นเนื้อ เขาสอนวิธีย่าง โดย 1. ย่างไฟก่อน 2. ชุปน้ำซอส 3. ย่างอีกครั้ง 4. แล้วค่อยทานกัน ทำแบบนั้นแล้วได้ผลจริงๆ .... ตอนเราไปต้องรอที่ว่างครึ่งชั่วโมงครับ ถึงเสียเวลาแต่ก็ได้ประสพการณ์ใหม่ๆ แถมอร่อยปากด้วย


ร้านนี้




💘💘💘


จากนั้นเดินทางไป เจดีย์ชูเรโตะ (Chureito Pagoda) ซึ่งอยู่ในศาลเจ้าอะระคุระ เซ็นเก็น (Arakura Sengen Shrine) ตั้งอยู่บนเขาสูงกับบันไดกว่า 400 ขั้นพร้อมชมวิวธรรมชาติแบบสมบูรณ์ทั้งภูเขาไฟฟูจิและเมือง Fujiyoshida

ศาลเจ้าอะระคุระ เซ็นเก็น สร้างขึ้นในปี 1963 เพื่อเป็นอนุสรณ์สันติภาพ ตัวศาลเจ้านั้นอยู่บริเวณพื้นล่าง เมื่อเดินขึ้นขั้นบันได ก็จะเจอกับตัวเจดีย์แดงหรือเจดีย์ชูเรโตะและบริเวณจุดนั่งพักผ่อน เจดีย์ชูเรโตะเป็นเจดีย์สูง 5 ชั้นที่สามารถมองเห็นเมืองฟูจิโยชิดะและภูเขาไฟฟูจิที่อยู่ห่างออกไปได้อย่างชัดเจน และทัศนียภาพสวยงาม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดชมฟูจิยอดนิยม



ทางขึ้นเจดีย์ชูเรโตะ (เจดีย์ 5 ชั้น) ที่ศาลเจ้า Arakura Sengen


จากตรงนี้ต้องเดินขึ้นไปด้วยบันไดแบบนี้ 400 ขั้น


ทางเดินขึ้นและที่นั่งพัก


ชั้นแรกมีที่นั่งพักชมเมือง Fujiyoshida










ตามข้างบันไดทางขึ้นใบเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนสีและร่วงแล้วก็เยอะ


เจดีย์ชูเรโตะ (Chureito)


วิวเมืองฟูจิโยชิดะและเขาฟูจิ (เสียดายใบไม้แดงร่วงหมดแล้ว)





ใบไม้เปลี่ยนสีข้างบันได้







💘💘💘💘



จาก Chureito Pagoda เราไปต่อกันที่นี่ครับ Mt. Fuji Panoramic Ropeway เพื่อขึ้นเขาไปชมเขาฟูจิ และทะเลสาบกาวากูชิ กับเมืองกาวากูชิ ซื้อบัตรคนละ 800 เยน แล้วไปขึ้นกระเช้าแบบตู้รถไฟแบบที่เห็นในภาพ เป็นกระเช้าแบบยืนนะครับ ... สถานีด้านล่างอยู่ไม่ไกลจากลานจอดรถริมทะเลสาบมากนัก เราเดินไปได้ครับ ช่วงที่ไปเป็นช่วงเย็นประมาณ 4 โมงเย็น แต่เข้าหน้าหนาวแบบนี้ มืดไวครับ ... ด้านบน เป็นลานมีเจ้ากระต่ายให้ถ่ายภาพ แถมมีศาลเจ้าเล็กๆอีก ถ้าใครมีเวลาเขาก็มีเส้นทางให้เดินป่าด้วยครับ (เข้าไปดูในเวป https://www.mtfujiropeway.jp/th/ ได้ครับ)


Mt. Fuji Panoramic Ropeway (จากเวป)

ด้านบนเขานั้นมีจุดชมวิวแบบพาโนราม่าที่อยู่สูงกว่า 1,075 เมตรจากระดับน้ำทะเล และมีการตกแต่งด้วยตัวการ์ตูนจากนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นเรื่อง “Kachi Kachi Yama” ของ Dazai Osamu ซึ่งเกี่ยวกับกระต่ายและทานูกิ โดยนักท่องเที่ยวสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศาทั้งทะเลสาบคาวากุจิโกะและภูเขาไฟฟูจิ นอกจากนี้ก็ยังมีร้านขายอาหารและของที่ระลึกอีกด้วย



ใบไม้เปลี่ยนสีตามทาง Ropeway


วิวเขาฟูจิยามเย็น



มรดกโลกของฟูจิ

ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 37 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ภูเขาไฟฟูจิเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม ในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2545 ภายใต้ชื่อ "ฟูจิซัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งที่มาของความบันดาลใจทางศิลปะ" ทำให้ภูเขาไฟฟูจิเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม แห่งที่ 13 และเป็น มรดกโลก แห่งที่ 17 ของ ประเทศญี่ปุ่น

สถานที่แห่งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ฟูจิชินโคและเป็นต้นกำเนิดของงานศิลปะต่างๆ ฟูจิซังหรือภูเขาไฟฟูจิได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและได้ถูกประเมินในความหมายทางวัฒนธรรมในฐานะหัวข้อผลงานอย่างเช่น ภาพวาดเกี่ยวกับความบันเทิงของชีวิตชาวเมืองสมัยเอโดะ สัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศญี่ปุ่น   ภูเขาที่มีความศักสิทธิ์ในสมัยโบราณ เป็นต้น

แต่การได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของภูเขาไฟฟูจิ นั้นมีเงื่อนไขว่าต้องยื่นมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่าใบรายงานสถานะการอนุรักษ์ธรรมชาติต่อ UNESCO ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 จะว่าไปแล้วก็คล้ายกับว่าต้องส่งการบ้านเลยนะเนี้ย  สำหรับมาตราการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของภูเขาไฟฟูจิต่างๆนั้นเชื่อมโยงกับการรักษาธรรมชาติให้คงอยู่เพื่อเป็นสัญลักษณ์และวิวทิวทัศน์ที่งดงามตลอดไป

ที่มา :  https://th.wikipedia.org/





ด้านบนจุดชมวิวมีที่ถ่ายภาพหลายที่ (ตรงนี้เรียกว่ากระดิ่งสายฟ้า)
The Bell of Tenjo ซึ่งมีความเชื่อกันว่า ถ้ามองภูเขาไฟฟูจิผ่านกรอบรูปหัวใจแล้วสั่นกระดิ่ง คำอธิษฐานจะเป็นจริง จุดนี้จึงมีนักท่องเที่ยวมาสั่นกระดิ่งกันมากมาย 


บรรยากาศฟ้าหลัวนิดๆ เลยถ่ายติดแค่คน (ด้าานข้างขวาคือป้ายอธิษฐานของนักท่องเที่ยว)


ทานุกิจอมวายร้าย กับ กระต่าย





จำเรื่องเก่า "Kachi Kachi Yama" ได้หรือไม่? 

"Kachi Kachi Yama (かちかち山) หรือ กระต่ายล้างแค้น เป็นเรื่องราวของทานุกิตัวร้ายที่ไปทำลายไร่นาของคุณตาและยายที่เป็นเพื่อนกับกระต่าย แล้วมันถูกจับมัดไว้เพื่อทำเป็นอาหารในภายหลัง พอคุณตาออกไปข้างนอก ทานุกิจึงอ้อนวอนขอชีวิตจากคุณยาย แทนที่มันจะสำนึกบุญคุณกลับฆ่าคุณยายและจับปรุงเป็นอาหาร ทานุกิแปลงร่างเป็นคุณยาย เพื่อรอคุณตากลับมาพร้อมเสิร์ฟอาหารที่ปรุงด้วยคุณยายให้คุณตาทาน หลังจากนั้นมันก็หนีไป คุณตาเศร้าโศกเสียใจมาก กระต่ายเพื่อนรักจึงอาสาที่จะล้างแค้นให้ จึงทำทีไปตีสนิทกับเจ้าทานุกิ ออกอุบายว่าไปจัดแคมป์ไฟกัน กระต่ายเดินตามทานุกิที่แบกฟางแห้งไว้บนหลัง พร้อมกับกระเทาะหินเพื่อจุดไฟให้ฟางที่หลังของทานุกิไหม้ แล้วทานุกิก็โดนไฟลวก กระต่ายจึงใช้ยาที่ทำจากพริกทาลงไปที่หลังของทานุกิ กระต่ายยังไม่ลงมือฆ่าทานุกิในทันใด จึงท้าทายให้ลองแข่งขันพายเรือข้ามทะเลสาบ กระต่ายสร้างเรือด้วยไม้อย่างดีทนทานและปลอดภัยอย่างชาญฉลาด ส่วนทานุกิตัวร้ายใช้ดินปั้นเรือโดยไม่คิดอะไรมากมาย จนถึงเวลาแข่งเรือของทานุกิหักกลางลำเพราะดินเริ่มละลายเมื่อโดนน้ำ ทานุกิจึงตกน้ำและร้องให้กระต่ายช่วย กระต่ายจึงประกาศออกไปว่าเค้าคือเพื่อนสนิทของคุณตาและคุณยาย นี่คือการล้างแค้นของการกระทำที่เหี้ยมโหดของแก"

ที่มา :  https://www.marumura.com/top-japanese-tales/



ทางเดินป่า


วิวทะเลสาบกาวากูชิโกะด้านล่าง


สรุปแล้ว ... วันนี้ไปเที่ยวชมเจ้าฟูจิซังหลายที่หลายจุด ซึ่งแต่ละจุดก็คือจุดชมภูเขาไฟฟูจิยอดนิยมทั้งนั้น ที่จริงเจ้าของบล๊อกก็เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง เคยจะขึ้นไปบนเขาฟูจิชั้นที่ 5 แต่ไปได้แค่ชั้น 2 ก็เล่นน้ำแข็งหิมะกันที่นั่น แต่มาคราวนี้พาคุณยายมาเลยจัดโปรแกรมมาอีก แต่ก็ได้วิวดีครับ เราโชคดีมากๆที่ตอนไปทะเลสาย Yanaka ได้ชมเจ้าฟูจิซังแบบสุดสวย แม้แต่คนญี่ปุ่นยังบอกว่าเราโชคดีมากๆเลย... วันนี้เหนื่อยครับปียบันได้ขึ้นเจดีย์ชูเรโตะกว่า 400 ขั้น แถมเดินในหมู่บ้านอีก แต่ก็สนุกครับวันนี้เราพักที่ Kawaguchigo Business & Resort Sawa Hotel ครับ พักเอาแรงพรุ่งนี้เดินทางไกลไป Takayama.


💘💘 ขอบคุณที่ตามอ่านครับ 💘💘