อ่าน : เที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 2 ... ณ ฟูจิซัง
การเดินทางท่องเที่ยวแบบส่วนตัวในญี่ปุ่นของเราบล๊อกนี้เป็นบล๊อกที่ 3 แล้วนะครับ หลังจากที่บล๊อกแรกเราตระเวณโตเกียวกันมา วันที่ 2 ก็เที่ยวแถวๆภูเขาไฟฟูจิ และวันนี้เป็นวันที่สามในญี่ปุ่น เราจะเดินทางออกจากที่พักที่โรงแรม Sawa Hotel เป้าหมายเราอยู่ที่การชมปราสาทมัตสึโมโตะ และ Little Tokyo ที่ทากายาม่า โดยจะแวะพักที่ Service Area (SA) ริมถนนใหญ่ใกล้ๆทะเลสาย Suwa กันในช่วงเช้าครับ
ภูเขาไปฟูจิ..จากโรงแรมที่พัก
วันนี้เราจะต้องเดินทางไกลผ่านเขาที่เรียกว่า Japan Moutain ระยะทางกว่า 200 กม. แต่ช่วงเช้าอากาศดีๆแบบนี้เราจะแวะชมเขาฟูจิ และ Say Goodbye เธอก่อน ที่สวนโออิชิ หรือ Oishi Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะริมทะเลสาบกาวากูชิโกะ และเป็นอีกจุดหนึ่งที่มองเห็นเจ้าฟูจิซังได้สวยงามมาก แนะนำว่าถ้ามาแถวนี้อย่าลืมมาแวะกันนะครับ.
แผนการเดินทางวันนี้
จากซาวะโฮเต็ล - สวนโออิชิ - พักทานมื้อเช้าแบบสายๆที่ริมทะเลสาบสุวะ - ปราสาทมัตสึโมโตะ - และสิ้นสุดที่ทากายาม่า
สวนโออิชิ (Oishi Park)
ในสวนสาธารณะโออิชิ (Oishi) หรือถนนสายดอกไม้ ซึ่งเป็นจุดชมวิวของภูเขาไฟฟูจิ(Fuji) คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับการชมถนนที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ที่มีความยาวถึง 350 เมตร ในช่วงปลายเดือนเมษายน จนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ถนนดอกไม้สายนี้จะเต็มไปด้วยต้นฟล็อกซ์ที่บานสะพรั่งดูคล้ายพรมสีชมพู ในช่วงเวลาเดียวกัน ทุ่งดอกมัสตาร์ดก็จะบานสีเหลืองอร่าม คุณสามารถถ่ายรูปดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามเหล่านี้ได้พร้อมกับพื้นหลังที่เป็นภูเขาไฟฟูจิ(Fuji) ….. การได้เดินอยู่บนถนนดอกไม้สายนี้ และได้ชมความงามของภูเขาไฟฟูจิ(Fuji)จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและลืมเวลาไปเลย ช่วงเวลาที่เหมาะกับการชมดอกลาเวนเดอร์มากที่สุด คือปลายเดือนมิถุนายน ไปจนถึงต้นเดือนกรกฎาคม มาดื่มด่ำกับความงามของสวนสาธารณะโออิชิ(Oishi) ที่ที่จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับดอกไม้ตามฤดูกาลกันเถอะ ในฤดูหนาว ภูเขาไฟฟูจิ(Fuji)จะสวยงามเป็นพิเศษ!
*************
จากสวนโออิชิ ไป ทะเลสาบสุวะ
ออกจากโออิชิปาร์ค เราเดินทางเยื้องทางตะวันตกเฉียงเหนือนิดๆ ผ่านเมืองสำคัญเช่น โคฟุ (Kofu) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ตั้งอยู่ในหุบเขา ตามทางที่ผ่านจะเห็นสวนพลับมากมาย หลายๆที่ยังเห็นลูกพลับสีเหลืองเต็มต้นอยู่เลย ซึ่งทำให้ทีมเราตื่นตาตื่นใจไปด้วย บางครั้งก็ผ่านสวนแอบเปิ้ล แต่น้อย ... driver เราบอกว่าถ้าจะชมสวนแอบเปิ้ลญี่ปุ่นต้องผ่านอีกเส้นทางครับ ... บนเขาจะเห็นหิมะขาวๆคลุมอยู่ เขาบอกว่า Japan Alps ก็ต่อจากเขานี้แหละครับ ใส่ไว้ในลิทส์ก่อนละกัน เอาไว้มาคราวต่อไป..
ระหว่างทางไปทะเลสาบสุวะจะเห็นสวนพลับตลอดเส้นทาง
เราเดินทางต่อไปทานมื้อสายที่จุด Service Area (บริเวณจอดพักรถขนาดใหญ่สำหรับผู้เดินทาง) หรือที่เขาเขียนป้ายย่อๆว่า SA ซึ่งมีอยู่เป็นระยะๆ ในบริเวณนั้นจะมีร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ปั๊มน้ำมัน ห้องน้ำ หรือแม้แต่ร้านช้อปปิ้งของที่ระลึกครับ ... ส่วนอีกแบบคือ PA หรือ Parking Area นั้นจะเป็นที่จอดรถเหมือนกัน จะมีปั๊มนำมัน ห้องน้ำ และอาจจะมีที่กดเอาน้ำด้วย ซึ่งมีพื้นที่เล็กกว่า SA ครับ ... ที่ๆเราไปพักทานมื้อสายในวันนี้คือ Lake Suwa SA ครับ ข้าง Highway บนเนินเขา มองเห็นทะเลสายสุวะได้เป็นมุมกว้าง
ลักษณะของทะเลสาบสุวะ
ทะเลสาบซสุวะ (Lake Suwa) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในชินชู ตั้งอยู่ทางตอนกลางของลุ่มน้ำซสุวะ ทางตอนกลางของจังหวัดนากาโนะ ที่นี่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำเทนยุ ซึ่งไหลผ่านเมืองโอคายะไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามและสุดท้ายไหลไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ในอดีตผิวน้ำในทะเลสาบจะแข็งเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว ทำให้สามารถสนุกกับการเจาะรูน้ำแข็งเพื่อตกปลาหรือการเล่นสเก็ตน้ำแข็งในทะเลสาบ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันอากาศในหน้าหนาวที่อุ่นขึ้นทำให้พื้นผิวน้ำไม่เป็นน้ำแข็งทั้งหมด ระหว่างช่วงที่พื้นผิวของทะเลสาบเป็นน้ำแข็งทั้งหมด คุณจะได้สัมผัสกับประสบการณ์การแตกของพื้นผิวน้ำแข็งเสียงดังและการแตกของพื้นผิวก็จะเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ กลไกของปรากฎการณ์นี้คือ น้ำแข็งเกิดการละลายเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงในตอนกลางวันและในตอนกลางคืนอุณหภูมิลดต่ำลงทำให้น้ำแข็งเกิดการหดตัว ทำให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าว ปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้เรียกว่า โมมิวาตาริ พิธีกรรมของศาสนาชินโตที่เรียกว่า โมิวาตาริชินจิ จะใช้ปรากฎการณ์ดังกล่าวในการทำนายสภาพอากาศ การเกษตรกรรมหรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของโลกโดยใช้ลักษณะของรอยแตกภายในทะเลสาบ กีฬาที่นิยมเล่นในทะเลสาบได้แก่ การแล่นเรือสำราญและการเล่นวินด์เสิร์ฟ คุณสามารถสนุกกับการล่องเรือในทะเลสาบได้อย่างง่ายดายด้วยเรือนำเที่ยวหรือรถสะเทินน้ำสะเทินบก ในเดือนสิงหาคมจะมีเทศกาลแสดงดอกไม้ไฟที่เรียกว่า Lake Suwa Festival's firework ซึ่งจัดในทะเลสาบ และกิจกรรมดังกล่าวก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายรอบ ๆ ทะเลสาบรวมทั้งน้ำพุร้อน เช่น Kamisuwa onsen, Shimosuwa Onsen โรงแรมแบบญี่ปุ่นเล็ก ๆ ที่มีออนเซน และศาลเจ้าสุวะเป็นต้น นอกจากนี้ที่นี้ยังมีศูนย์ Lake Suwa-ko Geyser Center ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับ Kamisuwa Onsen คุณจะได้เห็นการปะทุของน้ำพุร้อน ในอดีตน้ำพุร้อนดังกล่าวมีการปะทุสูงเป็นอันดับสองของโลก อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน น้ำพุร้อนที่นี่ได้สูญเสียความดันไปบางส่วนและไม่สามารถปะทุได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นปัจจุบันจึงได้มีการอัดอากาศเข้าไปเพื่อให้เกิดการปะทุของน้ำพุร้อน นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสวนที่อยู่ใกล้กับ Lake Suwa-ko Geyser Center และมีทางเดินที่เรียกว่า ashiyu ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินเล่นริมทะเลสาบ
CR : https://www.japanhoppers.com/th/chubu/tateshina_suwa/kanko/385/
เวปไซต์ https://suwakanko.jp/en/
*******
จากทะเลสาบสุวะ ไป ปราสาทมัตสึโมโตะ
จากทะเลสาบสุวะเราเดินทางออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อไปชมปราสาทมัตสึโมโตะ หรือ ปราสาทอีกาที่คนชอบเรียกกัน ซึ่งจากทะเลสาบสุวะไปจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง จนถึงเมืองมัตสึโมโตะที่ชื่อเดียวกันกับชื่อปราสาท ... ผ่านเมืองเข้าไปจะเห็นปราสาทตั้งอยู่บนพื้นที่ราบ ระนาบเดียวกันกับเมือง เข้าที่จอดรถแล้วเดินข้ามถนนไปจะเข้าสู่รั้วปราสาทรอบนอก ถ้าจะเข้าด้านในและขึ้นชมปราสาทจะต้องซื้อบัตรเข้า 610 เยนต่อคนครับ
ปราสาทมัตสึโมโต (Matsumoto Castle)
ปราสาทมัตสึโมโตะ ตั้งอยู่ในเมืองมัตสึโมโตะ จังหวัดนางาโนะ เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากกรุงโตเกียว จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างประเทศไปเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก ... ปราสาทนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า ปราสาทอีกา เนื่องจากผนังปราสาทมีสีดำ และปีกด้านต่างๆของปราสาทแผ่กางออกเหมือนปีกนก เป็นตัวอย่างหนึ่งของปราสาทที่สร้างบนพื้นที่ราบ ไม่ใช่บนเนินเขาหรือกลางแม่น้ำ
ด้านหน้าปราสาท...ใกล้ที่จอดรถ
ยังพอเห็นใบไม้แดงริมคูคลองรอบปราสาท
รถลากแบบญี่ปุ่น
ปราสาทญี่ปุ่น
ปราสาทญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 城 shiro) เป็นป้อมสนามมักสร้างขึ้นจากไม้และหิน ปราสาทมีวิวัฒนาการจากคุกทหารสร้างด้วยไม้เมื่อศตวรรษต้น ๆ และกลายมาเป็นปราสาทที่เป็นที่รู้จักกันในศตวรรษที่ 16 ปราสาทในประเทศญี่ปุ่นสร้างขึ้นเพื่อคุ้มกันบริเวณพื้นที่สำคัญหรือพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น ท่าเรือ สะพานข้ามแม่น้ำ สะพานลอย และเกือบจะคุ้มกันทั้งภูมิประเทศ
แม้ว่าปราสาทจะถูกสร้างให้คงอยู่และใช้หินในการก่อสร้างมากกว่าอาคารทั่ว ๆ ไป ปราสาทส่วนใหญ่ยังสร้างด้วยไม้ และปราสาทหลายแห่งพังทลายอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคเซ็งโงะกุ (1467–1603) เนื่องจากปราสาทเพิ่งถูกสร้างใหม่ ๆ ในยุคนั้น แต่ในเวลาต่อมา ปราสาทได้รับการบูรณะใหม่ ทั้งในยุคเซ็งโงะกุ ยุคเอะโดะ (1603–1867) หรือในยุคปัจจุบัน โดยกลายเป็นโบราณสถานหรือพิพิธภัณฑ์ ปัจจุบัน ในประเทศญี่ปุ่นมีปราสาทมากกว่า 100 แห่งที่ยังคงสภาพเดิมหรือเหลือเพียงบางส่วน มีการประมาณไว้ที่ 5,000 แห่ง[1] ปราสาทบางแห่งเช่นที่มะสึเอะ และโคชิ ทั้งสองแห่งสร้างใน ค.ศ. 1611 ยังคงสภาพเดิม ไม่ได้รับภัยคุกคามใด ๆ ปราสาทฮิโระชิมะถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลาย และบูรณะขึ้นใหม่ใน ค.ศ. 1958 และตั้งให้เป็นพิพิธภัณฑ์[2]
ตัวอักขระที่แปลว่าปราสาท '城' ที่อ่านว่า ชิโระ (คันจิในภาษาญี่ปุ่น) เมื่อเขียนติดกับคำคำหนึ่งจะอ่านเป็น โจ (คันจิที่แผลงจากภาษาจีน) เช่นในชื่อปราสาท ตัวอย่างเช่น ปราสาทโอซะกะ เรียกว่า โอซะกะโจ (大阪城) ในภาษาญี่ปุ่น
ไกลออกไปคือเมืองมัตสึโมโตะ
ทางเข้าชมปราสาท ต้องซื้อบัตรเข้า 610 เยน
เมื่อเดินข้ามสะพานด้านบนเลยประตูนี้ไปหน่อยจะมีที่ขายบัตรเข้าชมปราสาท
น่าจะเป็นผู้สร้างปราสาท (?)
เลยประเข้าชมปราสาทจะเจอแผ่นหินจารึกนี้อยู่ด้านขวามือ
สถาปัตยกรรม
ปราสาทญี่ปุ่นสร้างขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่ทุกแห่งจะสร้างตามแผนผังสถาปัตยกรรมที่นิยามไว้ดีพอสมควร ยะมะจิโระ (山城) หรือ "ปราสาทภูเขา" เป็นประเภทของปราสาทที่พบมากที่สุด และป้องกันภัยธรรมชาติได้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ปราสาทหลายแห่งที่สร้างบนที่ราบแบน (平城, ฮิระจิโระ) และบนเนินต่ำ (平山城, ฮิระยะมะจิโระ) จะพบได้น้อย และปราสาทห่างไกลบางแห่งสร้างบนเกาะหรือทะเล ทั้งธรรมชาติและจำลอง หรือตามชายฝั่ง ความรู้เกี่ยวกับการสร้างและเสริมความแข็งแกร่งให้ปราสาทมีชื่อเรียกว่า ชิกุโจ-จุสึ (ญี่ปุ่น: 築城術)
CR : https://th.wikipedia.org/
ด้านหน้าปราสาทเมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้ว
เมื่อเข้าไปด้านในแล้วจะมีที่ให้ข้อมูลและห้องน้ำ ... เมื่อเดินตามถนนเข้าไปถึงตัวปราสาทจะมีเจ้าหน้าที่แจกถุงพลาสติกให้ใส่รองเท้า (ต้องถอดรองเท้าเมื่อเข้าชมปราสาท) ถือติดตัวไปด้วย และดูเหมือนว่าชั้น 5-6 จะไม่ให้ถ่ายภาพนะครับ ต้องดูป้ายด้วย เดี๋ยวจะโดนเจ้าหน้าที่ตัวโตดุเอา ... ชั้นแรกๆจะแสดงภาพการออกแบบปราสาท (ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ลิ่มต่อกัน) และเรื่องราวที่เกิดขึ้น พอชั้นที่ 6 ซึ่งบันไดขึ้นค่อนข้างชันและแคบ เจ้าหน้าที่ต้องทำเป็น oneway ข้างบนนั้นเป็นที่โล่งๆ เอาไว้ให้เป็น commander center หรือ ระดับสั่งการรบไว้ใช้ครับ จุดเด่นอีกอย่างเมื่อคุณๆขึ้นไปถึงชั้น 6 หรือชั้นบนสุด จะมองเห็นเมืองมัตสึโมโตะในมุมสูงชัดเจนครับ
มีคนแต่งชุด....มาให้ถ่ายภาพด้วย
ชุดเกราะทหาร
วิวคลองน้ำหน้าปราสาท
*********
จากมัตสึโมโตะ ไป ทากายาม่า
เราเดินทางต่อจากปราสาทมัตสึโมโตะไปตามเส้นทาง 158 ไปเมืองทากายาม่าซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขา เส้นทางต้องขึ้นเขาและเป็นทางแบบเลนเดียวสวนกันไปมา วกวนพอควร บางช่วงยังเห็นถนนเพิ่งเกรดหิมะออกไปข้างทาง ซึ่งในบริเวณนี้จะมีสกีรีสอร์ทตั้งอยู่ด้วย เลียบเส้นทางมีเขื่อนกั้นน้ำไล่ระดับขึ้นเขาไป 3 เขื่อน ตรงเขื่อนสุดท้ายเรานั่งรถผ่านสันเขื่อนไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วเข้าอุโมงค์เป็นระยะๆ หลายอุโมงค์ด้วยกัน จนสุดท้ายเราออกไปแวะเข้าห้องน้ำที่ SA ก่อนเข้าทากายาม่าอีกประมาณ 10 กม.
แวะพักที่ SA (Service Area) ก่อนถึง Takayama
เมืองทากายาม่ายามบ่าย
เราถึงทากายามา่าช่วงบ่ายสองโมงเศษๆ สิ่งแรกที่ทำคือหาที่ทานมื้อเที่ยงแบบหิวมากทานกันก่อน เมื่อมาทากายาม่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวนึกถึงคือเนื้อฮิดะ (Hida) ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดในทากายาม่าเลย คือนุ่มมากเหมือนจะละลายในปากเลยก็ว่าได้ ... เราได้ร้านตรงหัวมุมถนน (น่าจะชื่อว่า Hidagyu Marake ..ถ้าจำไม่ผิด) มีที่จอดรถอยู่ด้านข้าง ไม่รับจองทางโทรศัพท์ ซึ่งปกติคนจะมาเข้าคิวกันมากมาย เราโชคดีที่รอไม่นานก็ได้โต๊ะนั่ง เราสั่งแบบเป็นชุดมาเพื่อ 6 คน ราคารวมเบียร์ท้องถิ่นด้วย 2 ขวดก็ประมาณ 16,000 กว่าเยนนิดหน่อย...เนื้ออร่อยสมชื่อครับ
คืนนี้เราพักที่นี่ Hodakaso Yamano Iori
เมืองทาคายาม่า (Takayama) เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีทัศนียภาพสวยงาม เพราะถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและสายน้ำจนไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของเมืองก็สามารถเห็นทิวทัศน์อันงดงามได้ ทั้งยังเป็นเมืองที่อนุรักษ์บ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นโบราณเอาไว้ในสภาพดั้งเดิม ทำให้สามารถมาเดินเที่ยวชมความเก่าแก่และความสวยงามของวัฒนธรรมญี่ปุ่นโบราณกันได้ที่นี่ แถมยังมีอาหารขึ้นชื่อสุดอร่อยหลายอย่างที่ต้องไม่พลาดมาลิ้มลอง
เมืองเก่าทากายาม่ายามเย็น
ฮิดะ ทาคายามะ (Hida Takayama) ดินแดนในอ้อมกอดแห่งขุนเขาในตอนเหนือของจังหวัดกิฟุ (Gifu) เป็นเมืองที่ยังคงบรรยากาศและสภาพบ้านเรือนของญี่ปุ่นในสมัยโบราณไว้ให้ได้เห็นอยู่ในปัจจุบัน นับจากที่ได้รับการจัดให้อยู่ในระดับสามดาวเคียงคู่กันกับเกียวโต (Kyoto) และนารา (Nara) โดยหนังสือนำเที่ยวชื่อดังระดับโลกดินแดนแห่งนี้ก็ได้ต้อนรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นจำนวนมาก และเนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ของที่นี่มักจะรวมตัวกันอยู่ในตัวเมือง แค่การเดินเล่นเที่ยวชมก็สร้างความสนุกสนานได้ไม่น้อย
ซันมะจิ (Sanmachi) เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในตัวเมืองแห่งนี้ ที่สามารถเดินไปได้จากสถานีรถไฟทาคายามะโดยใช้เวลาเพียง 10 นาที เป็นศูนย์กลางของเขตเมืองรอบปราสาท โดยชื่อ “ซันมะจิ (Sanmachi)” นี้เป็นชื่อเรียกรวมของถนน 3 เส้นซึ่งนับรวมแหล่งบ้านเรือนของเหล่าพ่อค้าวาณิชย์อย่างคะมิโจ (Kamicho) และชิโมะโจ (Shimocho) และได้รับการขนานนามว่าเป็นย่านเมืองเก่า (Old Town) …. ย่านเมืองเก่าของทาคายามะนั้น ยังคงเต็มไปด้วยบ้านเรือนและคฤหาสน์ของเหล่าพ่อค้าวาณิชย์อายุเก่าแก่ยาวนานกว่า 100 ปี ให้เราได้ชมแหล่งที่อยู่อาศัยที่สร้างโดยคหบดีผู้มั่งคั่งในอดีต ซึ่งรวมถึง “คฤหาสน์ตระกูลโยชิจิมะ (Yoshijima Heritage House)” แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังด้วย (มีค่าเข้าชม)
ณ ย่านเมืองเก่าแห่งนี้ ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ราวกับขึ้นไทม์แมชชีนย้อนอดีตมาสู่ญี่ปุ่นในยุคโบราณ ตามถนนหนทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์ชื่อดังของท้องถิ่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสาเกญี่ปุ่นหรือมิโซะ รวมถึงบ้านเรือนเก่าแก่ที่นำมาดัดแปลงเป็นคาเฟ่และร้านอาหารสวยๆ จำนวนมาก .... ทุกปีเมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ย่านเมืองเก่าแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกวิสทีเรีย (Wisteria) หรือฟูจิ (Fuji) บานสะพรั่ง ให้เราได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามของม่านดอกไม้สีม่วง ดอกวิสทีเรียเล็ก ๆ สีม่วงที่เรียงร้อยกันราวเถาองุ่นนี้คือสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิในญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี ในช่วงกลางวันจะครึกครื้นไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่หากได้พักค้างแรมในเมืองแห่งนี้สักหนึ่งคืนก็จะมีโอกาสได้เดินเล่นในยามเช้าและค่ำคืนเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศเงียบสงบของซันมะจิในยามที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจไม่น้อย
ขอบคุณที่ตามอ่านครับ
สะพานนากาบาชิ (Nakabashi bridge)ในยามเย็น