วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

เที่ยว... ตามเส้นทางสาย 12 (Route12)



     ช่วงเดือนมีนาคม 2560 คิดอยากจะเดินทางไปไหว้พระที่ จ. น่าน และจะแวะเยี่ยมเพื่อนเก่ารายทางไปในตัว หนึ่งในจังหวัดที่จะแวะเยี่ยมเพื่อนก็คือเมืองสองแคว พิษณุโลก โดยมีเป้าหมายว่าจะแวะเล่นกอล์ฟสังสรรค์กันด้วย เพื่อนๆที่นั่นไม่ได้เจอกันมากว่า 10 ปีแล้ว ก็เลยเตรียมรับกันที่สนามกอล์ฟทหารดงภูเกิด ในค่ายเอกาทศรถ โดยกำหนดการประมือกันในวันที่ 11 มีนาคม 2560 ..... นั่นคือที่มาของการเดินทางผ่านถนนสายที่ 12 (Route 12) ที่เชื่อมตะวันออกตะวันตก คือจาก อ.แม่สอด จังหวัดตาก ผ่าน สุโขทัย พิษณุโลก ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ไปสู่ตะวันออกที่ประเทศ สปป.ลาว ที่ จังหวัดมุกดาหาร ครับ

เส้นทางสายนี้ช่วง ขอนแก่น - พิษณุโลก มีที่เที่ยวมากมาย เช่น อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ถ้าแวปออกไปหน่อยก็จะเจอภูกระดีง วนอุทยานแห่งแรกของไทยที่ยังคงมนต์เสน่ห์ไว้อย่างมากมายตลอดกาล ถัดมาก็เป็นเขาค้อ ภูทับเบิก น้ำตกต่างๆบนสายน้ำเข็ก ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกแก่งโสภา น้ำตกแก่งซอง น้ำตกวังนกแอ่น เป็นต้น จนถึงเมืองพิษณุโลกที่พร้อมไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาตร์และวัดวาอารามมากมาย .... บล๊อกนี้จึงนำเอาบางสถานที่ที่ผ่านมาในวันที่ 10 มีนาคม 2560 ขณะเดินทางจากขอนแก่น ไปพิษณุโลกมาฝากกันครับ ..... ตามไปชมเลยครับ


วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เขาค้อ


เส้นทางสาย12 ช่วงหล่มสัก - วังทอง พิษณุโลก เดี๋ยวนี้เป็นถนน 4 เลนส์ ขับสบายมาก ต่างกับเมื่อก่อนที่ต้องขึ้นเขาคดเคี้ยวมาก แถมต้องคอยตามรถหนักอีก ทำให้เสียเวลามาก แต่ปัจจุบันนี้ไดก่อสร้างเป็นถนนสี่เลนส์เสร็จเรียบร้อยและเดินทางสะดวกจริงๆครับ .... 

สถานที่แรกที่เราจะพาแวะคือวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ถ้าท่านเดินทางมาตามถนนสายที่ 12 จากหล่มสักมาถึงตลาดหนองไผ่ประมาณตรงข้ามธนาคารกสิกรไทยจะมีซอยเข้าไปและมองเห็นยอดเจดีย์อยู่ครับ 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เขาค้อ ถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ความโดดเด่นอลังการที่ไม่เหมือนใครนอกจากทิวทัศน์สวยๆ ของทะเลภูเขารายรอบและทะเลหมอกสีขาว ก็คือ สีสันสดใสอันเกิดจากการนำกระเบื้องสีถ้วยชามเบญจรงค์มุกลูกปัดแก้วแหวนเงินทอง สิ่งมีค่าต่างๆ ตลอดจนเซรามิคหลากสีสัน มาประดับประดาตกแต่งเป็นลวดลายที่สวยงาม เมื่อยามต้องแสงแดดทั่วทั้งอาณาบริเวณจะสะท้อนประกายงดงามราวกับวัดบนสรวงสวรรค์ เป็นสถานที่อันสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ควรค่าแก่การไปเยือน


อ่านเพิ่มเติม : เกี่ยวกับวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว



 พระพุทธเจ้า 5 พระองค์



ทิวทัศน์ที่เรียกว่าสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยใกล้ๆกับวัด

สถานที่ต่อมาก็จะเป็น ทุ่งกังหันลมเขาค้อ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คใหม่ล่าสุดแห่งเขาค้อที่สวยงาม ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านเพชรดำ จังหวัดเพชรบูรณ์   เมื่อเข้ามาในบริเวณแคมป์สนเพื่อไปยังเส้นทางท่องเที่ยวหลักบนเขาค้อ จะสามารถมองเห็นกำหันลมโดดเด่นได้อย่างง่ายได้  เนื่องจากจุดที่ตั้งของโครงการทุ่งกังหันลม อยู่บนเนินเขาสูง บนระดับความสูงกว่าน้ำทะเลประมาณ 1,050 เมตร ตระหง่านบนที่ราบยอดเขาเนื้อที่ 350 ไร่  จึงสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างไกล .... เส้นทางขึ้นไปจะเป็นถนน อบต. คดเคี้ยวพอควร แต่ก็สามารถขึ้นไปได้สบาย แต่ตอนรถสวนกันต้องระวังหน่อย พอสุดทาง อบต.ก็จะเป็นทางลูกรังประมาณกิโลกว่าๆก็จะถึงที่จอดรถครับ บนนั้อากาศดีมาก แม้จะเป็นหน้าร้อนก็ตาม ลมพัดเย็นสบาย.






บริเวณที่จอดรถทุ่งกังหันลม


วิวเขาค้อจากทุ่งกังหันลม


ออกจากเขาค้อในตอนบ่าย เดินทางผ่านสถานที่ต่างๆที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามเส้นทาง เช่น ร้านกาแฟ route 12 บ้านเข็กน้อย อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง น้ำตกแก่งโสภา น้ำตกแก่งซอง ฯลฯ แต่ไม่ได้แวะเข้าไป เพราะหลายแห่งที่กล่าวมาได้เคยนำเสนอในบล๊อกไปแล้ว ..... เราถึงเมืองสองแควในตอนบ่ายเกือบสี่โมง หลังจากเช็คอินที่โรงแรมเสร็จ ก็เดินทางไปวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่เพื่อกราบหลวงพ่อใหญ่ พระพุทธชินราช ต่อ

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า "วัดใหญ่" ตั้งอยู่ที่ ถนนพุทธบูชา ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะสถานที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย 

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย มีสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประติมากรรมที่งดงามยิ่ง ถือได้ว่าเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเมืองพิษณุโลก   (อ่านเพิ่มเติม)

 วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

เจดีย์เก่าแก่ในวัด

 วิหารเก้าห้องประดิษฐานพระอัฏฐารส 


องค์พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (ด้านใน)





หลวงพ่อดำ

ไหว้พระหลวงพ่อใหญ่เสร็ ก็ได้เวลาอาหารเย็นครับ เราขับเลียบแม่น้ำน่านไปทางสะพานสุพรรณกัลยา หรือสะพานวัดจันทร์ตะวันตก เพื่อหาแพเหมาะๆนั่งทานมื้อเย็นดูพระอาทิตย์ลับไปบนสายน้ำน่านในเมืองพิษณุโลกกัน เลือกได้ที่แพน้ำน่านครับ ตอนเราเข้าไปยังไม่ค่อยมีแขกซักเท่าไหร่ ทำให้เราได้ที่นั่งเหมาะริมขอบแพ ... เมื่อก่อนพวกแพร้านอาหารนเหล่านั้นจะอยู่ส่วนในของเมือง ไม่ห่างจากวัดใหญ่มากนัก ต่อมาทางจังหวัดได้จัดระเบียบใหม่ร้านอาหารบนแพเหล่านั้นก็เลยมาอยู่แถวๆสะพานวัดจันทร์ตะวันตก หรือ สะพานสุพรรณกัลยาอย่างที่เห็นนั่แหละครับ


 บรรยากาศริมน้ำน่านยามเย็น

 มองเห็นยอดคือ มหาวิหารสมเด็จองค์ปฐม วัดจันทร์ตะวันตก

 วิวจากแพน้ำน่าน

วันนั้นนั่งชมแสงสุดท้ายของวันพร้อมเบียร์เย็นๆบนแพ บรรยากาศแบบนั้นเขาว่าดื่มร้อยไหก็ไม่เบื่อ ดูท่าจะจริงแฮะ แต่ด้วยมีภาระในวันรุ่งขึ้นต้องไปเล่นกอล์ฟกับมิตรสหายเก่าๆที่จากกันมากว่า 10 ปี เลยต้องออมแรงไว้ แต่ก็ยังหมายมั่นว่า มาพิษณุโลกคราหน้าจะต้องมานั่งชมความงามของอาทิตย์ที่กำลังอัสดงแบบวันนี้ให้ได้


💘💘ขอบคุณที่ตามอ่านครับ💘💘


ลาด้วยภาพอาทิตย์กำลังอัสดงที่สะพานสุพรรณกัลยาครับ


______________

วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560

ฮอกไกโด..หน้าหนาว 8 (เที่ยวโทมาโกไม)




หลังจากเดินทางฝ่าลมหนาวในเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น มาตั้งแต่วันที่ 4 กพ. 2017 จนถึงวันนี้ ก็เป็นวันที่ 11 กพ. 2017 ซึ่งรวมแล้ว ก็ 7 วันเข้าไปแล้ว เราพาคุณๆไปเที่ยวมาหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น Snow Festival ที่ Sapporo, ชมทิวทัศน์ที่เมืองฮาโกะดาเตะ, Ice Festival ที่เมือง Asahikawa, ชมเมืองที่โรแมนติก Otaru, Kiroro ski-resort ชมลานสกีและหิมะที่ขาวนุ่มทั่วทั้งเขา, ชมพิพิธภัณฑ์ปลาแซลมอนและช้อปปิ้งที่เมือง Chitose ก่อนนจะมาถึงเมืองโทมาโกไม (Tomakomai) ในบล๊อกนี้ 

เมืองโทมาโกไม (Tomakomai) เป็นเมืองใหญ่พอสมควร คือใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของเกาะฮอกไกโด ซึ่งมีประชากรในเขตเมืองประมาณ 174,000 กว่าคน วันนี้เราจะพักกันที่ Dormy Inn Hotel .... เรามาพักที่เมืองนี้เพราะอยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติ New-Chitose Airport เพียง 16 กม. นั่งรถไฟไม่กี่สถานีก็ถึงทางเข้าสนามบินแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่มาพักที่นี่ก็เพราะช่วงเทศกาลของซัปโปโร ที่พักจะเต็มหมด แต่ที่เมืองนี้ยังพอมีและราคาก็หาที่สบายกระเป๋าได้ด้วย และไหนๆมาที่นี่แล้วเราจะพาคุณๆไปเที่ยวสถานที่น่าสนใจในเมืองนี้ซัก 2-3 ที่ครับ คืออันดับแรกจะไปเที่ยวและทานอาหารกันที่ Sea Station Plat Seaport Market,  ต่อไปก็  City Science Center และ Nishiki Onuma Park ครับ


 สถานี JR Tomakomai

 โทมาโกไม จากสถานีรถไฟ

เราขึ้นรถไฟมาจากสถานี Chitose มาลงที่สถานี Tomakomai ใช้เวลาเดินทางไม่นานนักเพราะระยะทางก็ประมาณ 20 กว่า กม. เอง หลังจากลงรถเสร็จเราก็จองตั๋วสำหรับเดินทางไปสนามบินในวันต่อไปไว้เลย ก่อนนั่งแท๊กซี่เข้าโรงแรม Dormy Inn ระยะทางประมาณ 700 เมตรแค่นั้นเอง สาเหตุที่ต้องนั่งแท๊กซี่จากสถานีไปเพราะทางเดินตามฟุตบาธมีน้ำแข็งเกาะ เวลาเดินลื่นมาก ไม่สะดวกนักที่จะลากกระเป๋าขนาด 20 นิ้วไป ... พอถึงโรงแรมเราเอาของไปฝากไว้ที่รีเซ็บชั่นก่อน ซึ่งเขาจะมีที่เก็บกระเป๋าเราไว้อย่างดี และบอกว่าเราจะมาพักที่ห้อง xxx ก่อนที่จะเตรียมออกเดินทางไปเที่ยวต่อ

 รูปปั้นนักสเก็ตน้ำแข็งที่หน้าสถานีรถไฟ (เมืองนี้มีลานสเก็ตสำหรับแข่งฮอกกี้น้ำแข็งด้วย)

เทพีสันติภาพ (?) ที่สถานีรถไฟ

ในเมืองโทมาโกไม

จากโรงแรมเรานั่งแท๊กซี่ไปที่ Sea Station Plat Seaport Market ซึ่งอยู่ที่ 2-2-5 Minatomachi, Tomakomai 053-0004, ฮอกไกโด ซึ่งเป็นที่ขายพวกอาหารสดๆจากทะเล รวมทั้งผลไม้ชนิดต่างๆ และด้านในตลาดจะมีร้านอาหารให้เลือกมากมาย แถมราคาไม่แพงนัก ถือโอกาสทานมื้อเที่ยงที่นี่เลย


ด้านหน้า Sea Station Plat Seaport Market

เพราะว่าอากาศที่นี่หนาวมาก วันที่ไปน่าจะอยู่ประมาณ 0 องศาหรือต่ำกว่า พอลงเท๊กซี่ได้ก็รีบไปถ่ายภาพกับเรือลำที่อยู่หน้าตลาดนี้ก่อน ก่อนที่จะจะเข้าไปหลบอากาศหนาวในตลาด ซึ่งปิดมิดชิด แถมมีฮีตเตอร์อีกต่างหาก...ตรงข้ามกันก็เป็น Seaport Market อีกแห่งหนึ่ง มีของขายคล้ายๆกัน แต่จากการสังเกตก็เห็นคนมาที่นี่มากกว่า


 ด้านในมีทั้งร้านอาหาร ขายของทะเล และผลไม้

อ่านไม่ออก นี่คือตัวอะไร? 

ปูสดๆ

สตอเบอรี่ลูกใหญ่มาก

ผลไม้และปูสดๆ

เที่ยงแบบง่ายๆของเรา

จากตลาดท่าเรือ หรือ Sea Station Plat Seaport Market เราขอให้คนญี่ปุ่นที่ตลาดฝั่งตรงข้ามช่วยโทรเรียกแท๊กซี่ให้ พอแท๊กซี่มาถึงเราพยามสื่อด้วยภาษาอังกฤษบอกว่าจะไป City Science Museum อยู่หลายนาทีเหมือนกัน จนในที่สุดเราตัดสินใจเอาภาพที่มียานอวกาศให้เขาดูและบอกว่า Museum สุดท้ายก็เข้าใจกันจนได้ พอไปถึงจะมีป้ายแบบด้านล่างและมีหัวจักรรถไฟแบบโบราณจอดอยู่กลางหิมะที่ขาวโพน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใช่ไหม เลยตัดสินใจเดินเข้าไปดูด้านใน เจอเจ้าหน้าที่ใส่ชุดสีฟ้ากล่าวต้อนรับเราเป็นภาษาญี่ปุ่น ขณะเดียวกันเราก็เหลือบไปเห็นเจ้ายานอวกาศของรัสเซีย (ดูจากภาษาที่ตัวยาน) ก็แน่ใจว่าใช่ที่เราจะมาแน่


หน้า Tomakomai Science Museum & Russian Mir Museum

เจ้าหน้าที่สื่อกับเราเป็นภาษาอังกฤษได้ เราเลยถามว่าจะต้องซื้อตั๋วเข้าชมคนละเท่าไหร่ เธอบอกว่าฟรีพร้อมกับถามเราว่าจะเอาเอกสารประกอบการชมเป็นภาษาอะไร เราบอกขอเป็นภาษาอังกฤษละกัน เพราะเราอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก เธอหยิบ sheet ที่อธิบายส่วนต่างๆของยานอวกาศให้เรา พร้อมกับถามว่าเรามาจากประเทศอะไร (สงสัยจะบันทึกสัญชาติผู้เยี่ยมชม) .... เราเป็นกลุ่มเดียวที่เข้าไปในตอนนั้นก่อนที่จะมีอีกหลายกลุ่มพร้อมเด็กๆตามมา


หัวรถจักรไอน้ำโบราณ

สิ่งที่แสดงใน Museum นี้คือยานสถานีอวกาศเมียร์ (Space Station "Mir") ด้านในของยานเราสามารถเข้าไปนั่งและถ่ายภาพได้ครับ ส่วนปีกยานที่เป็นแผลงโซล่าเซลล์ เขาพับไว้ด้านข้าง .... ตรงทางเดินขึ้นชั้นบน จะแสดงส่วนหางจรวจที่ถูเผาไหม้ (คงตอนส่งขึ้น) ... เอาเป็นว่าเรามาเดินเล่นสบายๆ ไม่เสียตังค์ในนี้ละกัน อีกอย่างได้หลบลมหนาวไปในตัวครับ




 ด้านส่วนนักบิน



 ภาพจากจุดชมชั้นบน

ภาพตัดให้เห็นภายในยานสถานีอวกาศเมียร์


 ชุดนักบิน เข้าไปถ่ายภาพได้




จากการชม Space Station "Mir" เราเดินออกไปสู่ถนนใหญ่เพื่อหารถไปที่ Nishiki Onuma Park เพื่อไปดูเขาตกปลาในทะเลสาบที่ผิวน้ำกลายเป็นน้ำแข็งกัน .... เมืองนี้เวลารอแท๊กซี่ควรไปรอในสถานที่เช่น ซูปเปอร์มาร์คเก็ต หรือร้านสะดวกซื้อ หรือสถานีรภไฟประมาณนั้น เพราะเราพยามเดินไปตามถนนและรอเรียกไม่ยักกะมีครับ รถส่วนมากไปจอดเข้าคิวตามห้างหรือสถานที่คนเยอะๆซะมากกว่าจะมาขับเพ่นพล่านตามถนนแบบบ้านเรา

เราไปรอที่ร้านสะดวกซื้อ ซักพักก็มาพยามส่งภาษาบอกเท่าที่เขาจะเข้าใจ เพราะเขาไม่พูดอังกฤษกัน แต่เมื่อได้แล้วการตุกติกเรื่องราคาไม่เคยเจอนะครับ เพราะที่นี่วิ่งตามมิเตอร์หมดแม้จะข้ามเมือง


Nishiki Onuma Park

ระยะทางจาก Tomakomai Science Museum มาที่อุทยานแห่งชาติ โอนุมะ ประมาณ 16 กม. นั่งแท๊กซี่ครึ่งชั่วโมง ค่าแท๊กซี่ประมาณ 4xxx เยน ก็แพงนะ แต่เราอยากประหยัดเวลาเพื่อจะได้เที่ยวนานๆ ก็ต้องยอมครับ .... อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการเดินทาง ก็สามารถนั่งรถไฟจากสถานี Tomakomai > Aoba > Itoi > และมาลงที่ Nishioka แล้วหาแท๊กซี่จากที่นั่นเข้าอุทยานอีก 4.5 กม. นั่นจะถูกกว่า


ทางเข้าทะเลสาบ Nishiki Onuma

แท๊กซี่พาเรามาส่งที่อุทยานโอนุมะประมาณ 15.00 น. สิ่งที่เราต้องทำด่วนก่อนมืดคือเดินเข้าไปสู่ทะเลสาบโอนุมะ ในอุทยานเพื่อให้ทันดูเขาตกปลา Smelt ... แต่วิวที่เราเห็นตรงทางเดินเข้าไปสวยงามมากเกินกว่าจะอดใจไม่ให้ถ่ายภาพได้ ไม่ว่าจะเป็นคลองน้ำเล็กๆที่ไหลฝ่าดงหิมะและต้นไม้ที่ยืนต้นปราศจากใบ เห็นแล้วสวยงามจริงๆ (เข้าไปดูในเวปช่วงฤดูใบไม้สีแดง และสีเขียวก็สวยไปอีกแบบ) ..... ยังไงเราก็ต้องเดินเข้าไปก่อน ซึ่งระยะทางจากที่ทำการก็ประมาณเกือบ 1 กม. 




เส้นทางที่ผ่านเข้าสู่ทะเลสาบโอนุมะ

ชาวญี่ปุ่นเขาลากอุปกรณ์เข้าไปตกปลา

เลยป้ายเข้าไปคือทะเลสาบ Onuma


บริเวณที่อนุญาตให้ตกปลาจะกั้นไว้ด้วยเชือก

ขอเขาเข้าไปดูใกล้ๆ ซึ่งเขาก็เชิญชวนนะครับ





เจาะรูผ่านน้ำแข็งที่หนาเกือบๆฟุตเป็นรูประมาณ 6-8 นิ้ว

บริเวณที่เขาตกปลาจะเจาะรูผ่านผิวน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งที่หนาประมาณเกือบๆฟุตลงไป โดยเจารูประมาณ 6-8" จนเห็นน้ำ แล้วใช้เบ็ดหย่อนลงไป หลังจากนั้นก็ใช้ความอดทนรอเหมือนนักตกปลาทั่วๆไป ถ้าผิวน้ในรูจะกลายเป็นน้ำแข็งเขาก็จะใช้แผ่นไม้ที่ทำเป็นวงกลมประมาณใกล้เคียงกับรูกระแทกน้ำแข็งออกไปครับ ... เมื่อหลุมหรือรูไหนเลิกตกปลาในแต่ละวันเขาก็จะเอาไม้เล็กทำแบบกระโจมมี 3 ขาแล้วผูกด้วยลิบบิ้นสีชมพูไว้ เพื่อกันไม่ให้คนหลงไปตกและจะได้กลับมาเจาะใหม่ได้ง่ายๆ .... นักตกปลา (Smelt fishing) บางรายก็เอาเบียร์ กาแฟ มานั่งดื่มไปด้วย แต่ชุดแต่ละคนอย่างหนาครับ




ปลา smelt ที่ได้ส่วนมากจะนำไปชุปแป้งเทมปุระทอดรับประทานกันครับ
อ่านเรื่อง Smelt ได้ที่ : https://en.wikipedia.org/wiki/Smelt_(fish)


Lake Onuma in Winter

กับนักตกปลารุ่นเยาว์

ตรงนี้ในหน้าร้อนจะเป็นสนามหญ้ามีเก้าอี้ริมน้ำ

หลังจากชมเขาตกปลาบนทะเลสาบโอนุมะแล้วก็เกือบมืด ออกมาข้างนอกที่ทำการเพื่อหารถกลับโรงแรม ทีนี้แหละปัญหาก็เกิด คือ หารถเมล์และแท็กซี่จากตรงนั้นก็ไม่ได้ ใช้โทรศัพท์เรียกก็ไม่เป็น เพราะพูดญี่ปุ่นไม่ได้ ... เดินไปเจอแม่บ้านชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งที่พาลูกๆมาเล่นสไลด์บนลานหิมะ โชคดีที่เจอคนพอพูดอังกฤษได้บ้าง เลยถามว่ามีรถกลับไปที่โทมาโกไมไหม เขาบอกว่าต้องเดินออกไปถนนด้านหน้าประมาณ 10 นาทีแล้วจะมีป้ายรถ และเขาก็บอกเราว่าจะให้ขับไปส่งไหม รถเขาจอดอยู่ตรงนี้เอง เราก็เกรงใจบอกขอบคุณแล้วเดินฝ่าความหนาวออกไป

เราเดินไปได้น่าจะประมาณ 4.5 กม. ไม่เห็นมีรถเมล์หรือแม้แต่แท๊กซี่ผ่านมาซักคัน ใกล้มืดแล้ว หนาวก็หนาว เหนื่อยก็เหนื่อย มองเห็นร้านขายของชำร้านหนึ่ง เราเลยตัดสินใจเข้าไปถามคนที่มาซื้อของ และโชคดีที่เธอพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง เธอบอกว่ารถน่าจะหมดแล้ว แล้วเธอก็อาสาไปส่งเราที่ในเมืองซึ่งไกลพอควร จนถึงซูปเปอร์มาร์คเก็ตเราก็บอกเขาไปส่งเราตรงนั้นก็พอ แล้วเราจะหารถกลับเอง เราได้แต่ขอบคุณด้วยภาษาญี่ปุ่นเพียงวลีเดียวที่เราท่องไปจากบ้าน "อะริกะโต้โกไซมัส" ถ้าไม่ได้เขาเราคงแย่แน่ๆในวันนั้น ...ขอบคุณอีกครังสำหรับความอารีย์ของชาวโทมาโกไม .... จากนั้น เราให้พนักงานในห้างช่วยโทรเรียกแท๊กซี่กลับโรงแรม Dormy Inn Tomakomai โดยปลอดภัย.

ถนนในเมืองโทมาโกไม ยามค่ำคืน

เราถึงโรงแรม Dormy Inn ประมาณหกโมงเศษๆ เข้าไปที่ Reception ขอเช็ค-อิน เธอจัดการให้และบอกเราว่ากระเป๋าได้เอาเข้าไปเก็บในห้องให้เรียบร้อยแล้ว แล้วถามเราว่าพรุ่งนี้เราจะไปสถานีรถไฟกี่โมง เพราะเขามีรถแท็กซี่รับ-ส่ง ฟรี แต่เริ่มที่ 7.00 น. เราจะจองไว้ไหม? คือที่นี่ต้องคิวหมดทุกอย่างครับ เราบอกไปตอน 6.30 น. มีไหม เขาบอกต้องจ่ายตังค์เองแต่จะเรียกให้ (วันที่เราไปก็คือ 6.30 น. แท๊กซี่ไปส่งเราที่สถานีรถไฟ เราจะจ่ายตังค์ แต่เขาบอกว่าโรงแรมจัดการให้แล้ว...ดีจัง)


แวะเข้าทานมื้อเย็นที่ร้านนี้

เข้าห้องพัก จัดการอาบน้ำอุ่นให้สบายๆ ก่อนที่จะออกไปหาอะไรทาน หยิบโบชัวร์ร้านอาหารมาดู แต่ละที่ไกลใช่น้อย หิวก็หิวเลยหาร้านแถวๆโรงแรมนั่นแหละ โชคดีที่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมมีอยู่หลายร้าน ส่วนมากเป็นแบบญี่ปุ่น มาเจอร้านนี้แล้วดูภาพอาหารที่หน้าร้านแบบมีปิ้งย่างอยู่ด้วยเลยเลือกเข้าซะที่นี่เลย .... ก่อนเข้าร้านต้องถอดรองเท้าเก็บไว้ในล๊อเกอร์เล็กๆสำหรับเก็บรองเท้าก่อน ข้างในจัดร้านแบบญี่ปุ่น จะนั่งบนเบาะหรือเลือกนั่งเป็นโต๊ะก็ได้ เราเอาแบบหลัง วันนี้แก้เมื่อยด้วยเบียร์ซัปโปโร กับน้ำชาเขียวของคุณภรรยา สบายตัวไป ก่อนกลับไปพักผ่อน

ปล. โรงแรมในญี่ปุ่นระดับ 3 ดาวและต่ำกว่าในห้องจะมีแต่ชาเขียวและกาต้มน้ำร้อนให้ ถ้าอยากได้กาแฟให้มาชงห้องล้อบบี้เอาและถือขึ้นไปที่ห้องได้


💘💘ขอบคุณที่ตามอ่านมาตลอดครับ💘💘




ลาด้วยภาพนี้ครับ


_____________