วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

ขับไปเที่ยวไป จากอุบลฯ - นครพนม



ทริปนี้พาท่านผู้อ่านไปขับรถเที่ยวชายโขงเขตแดนไทย-ลาว
โดยจะสตาร์ทกันที่เมืองอุบลราชธานี ในวันเข้าพรรษาปี 2557 ครับ



แผนที่การเดินทาง


จริงๆแล้วเริ่มด้วยการเดินทางจากขอนแก่นเพื่อไปชมการแห่เทียนพรรษาที่อุบลฯกัน
โดยเราขับออกจากบ้านที่ขอนแก่นช่วงสายๆ วันที่ 11 กรกฏาคม 2557
เพื่อให้ถึงเมืองอุบลฯในช่วงบ่ายๆ เพื่อจะได้ออกไปชมต้นเทียนที่เขานำมาเตรียมแห่ในวันรุ่งขึ้น


ยามบ่ายที่อุบลราชธานี...จากโรงแรมทอแสง


ตามที่วางแผน..เราถึงอุบลฯช่วงบ่ายมีฝนลงมาเล็กน้อย การเดินทางสะดวกดีถึงแม้จะมีคนเดินทางเยอะหน่อย
แต่โดยรวมแล้วรถราวิ่งได้คล่อง เราผ่าน สารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลฯ

เมื่อถึงอุบลฯโทรหาที่พักได้ที่โรงแรมทอแสงซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ของที่นี่
หลังจากนั้นขับวนออกตามบายพาสไปเมืองวารินชำราบเพื่อหาอาหารประเภทปลาทาน
แต่ก็ได้อาหารพื้นเมือง ก็ยังดี ... เพราะวันนี้คนมาอุบลฯกันเยอะ ถ้าเลือกมากคงไม่ไหว
ทานมื้อเที่ยง (บ่าย) เสร็จเราขับไปเช็คอินที่โรงแรมทอแสงในเมืองกัน




เก็บของเข้าที่พักนอนพักพอหายเหนื่อย แดดร่มลมตกก็พากันออกไปทุ่งศรีเมือง
ซึ่งบ่ายวันนี้ 11 กค. 57 เขาจะเอาต้นเทียนที่จะแห่มาจอดตั้งไว้รอบๆทุ่งศรีเมือง
ท่านที่ต้องการถ่ายภาพควรหาเวลาไปตอนนี้ จะได้ถ่ายภาพอย่างใกล้ชิด
ในบล๊อกนี้เราจะไม่เอาภาพมาลงมากนัก เพราะเคยลงไปแล้งใน "บล๊อกแห่เทียนพรรษาที่อุบลฯ"
แต่ก็จะเอามาลงไว้เท่าที่เห็นครับ



ออกไปชมต้นเทียนพรรษายามบ่าย


ใกล้ๆโรงแรมที่พัก มีร้านอาหารประเภทสวนอาหารหลายร้าน
เราออกไปนั่งฟังเพลงเคล้ากะเบียร์เย็นในตอนเย็น
บรรยาการดีมากครับ


           

หลังอาหารเช้าที่โรงแรมเราต้องรีบออกไปจองที่นั่งที่อัฒจันทร์เพื่อจะได้มองเห็นภาพขบวน

ขนาดที่ว่าเราไปเช้าแล้วนะ ยังเกือบไม่มีที่นั่งแน่ ผู้คนมาจองกันเกือบเต็ม
9 โมงเช้าขบวนเริ่มมา เป็นประเภทเทียนพรรษาของเจ้าเมืองตามประเพณี
ตามด้วยขบวนต่างๆ มากมาย .... แต่เสียดายจัดระเบียบไม่ค่อยดี
คนถ่ายภาพลงไปในขบวนเกือบมองไม่เห็น หลังผ่านคณะกรรมการมาแล้ว   


  

สาวนกแอร์มาแจกหมวกกระดาษก่อนขบวนแห่มา


เสียงฮือฮาเริ่ม...ก่อนที่จะมีขบวนแห่ เพราะมีสาวๆจากหลายค่าย หลายบริษัท
แวะเข้ามาแจกหมวกกระดาษให้บรรดาผู้มาชมงานตามอัฒจันทร์
ช่างภาพเริ่มเยอะขึ้น จนบางครั้งเรามองว่าการที่ปล่อยให้ลงไปในลู่ที่จะแสดง มันไม่น่าเหมาะ
สิ่งที่ทางการควรทำคือ จัดระเบียบการถ่ายภาพใหม่ อจจะทำอัฒจันทร์พิเศษสำหรับพวกเขา
เพื่อป้องกันการกรูเข้าไปในลู่แสดง ซึ่งแน่นอนบดบังคนที่เข้าชมงานครับ...ฝากเจ้าหน้าที่ด้วย.


ในขบวนแห่เทียนพรรษาช่วงเช้า


ช่วงสายเราออกจากตัวเมืองอุบลราชธานีเพื่อเดินทางไปที่ด่านช่องเม็ก อ.สิริธร
ถนนหนทางสะดวกมาก ระหว่างทางเราจอดพักทามื้อเที่ยงซึ่งวันนี้เป็นเมนูปลาแม่น้ำโขง
น่าจะชื่อร้านปลาน้ำโขงหรืออะไรนี่ อยู่ข้างทางขวามือขาไป อ.พิบูลฯ คนเข้าออกเยอะ




ประมาณเที่ยงเราเข้าสู่ด่านช่องเม็กซึ่งวันนี้ผู้คนมากมาย
รถจอดเต็มไปหมด อาจจะเป็นเพราะวันหยุดก็เป็นได้
เราเดินซื้อของที่ตลาดชายแดน (อยู่ฝั่งไทย) ซักพักก่อนเดินทางต่อไปโขงเจียม

ที่ด่านช่องเม็กนี้เราสามารถเช่ารถต่อเข้าไปเที่ยวลาวใต้ได้ บริษัททัวร์ก็มีอยู่ที่ด่าน
หรือจะข้ามไปเช่าฝั่งลาวเลยก็ได้สะดวกดี...ออกจากด่านไป 40 กม. จะมีสะพานข้ามแม่น้ำโขง
ไปที่เมืองปากเซ ซึ่งที่นั่นมีโรงแรมมากมายครับ ... จากปากเซเราสามารถไปเที่ยวน้ำตกหลี่ผี
ในสี่พันดอน ไปเที่ยวน้ำตกคอนพะเพ็งอันตระการตา น้ำตกตาดเยือง ตาดฟาน และผาส้วมได้


ที่ด่านช่องเม็กยามสาย


จากโขงเจียม เราเดินทางจากช่องเม็กข้ามแม่น้ำมูลแล้วจอดรถถ่ายภาพแม่น้ำสองสีกัน
ซึ่งวันนี้ไม่เห็นมีสองสี เพราะหน้าฝน จะเห็นก็แต่แม่น้ำสีขุ่น...ปกติจะเป็นเฉพาะแม่น้ำโขง
ส่วนแม่น้ำมูลที่ไหลลงไปบรรจบกับแม่โขงนั้นจะเป็นสีเข้ม (ใสจนออกเป็นดำ) ทำให้เห็นความแตกต่างชัดเจน
เมื่อเราเข้าไปถึง อ.โขงเจียม ก็ขับวนขึ้นเขาไปทาง อ.พิบูลย์ บนเนินเขานั้นจะเจอวัดถ้ำคูหาสวรรค์

วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2521 โดย "หลวงปู่คำคนิง จุลมณี"
ซึ่งใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมจำพรรษา ปัจจุบัน หลวงปู่ท่านได้ มรณภาพแล้ว แต่ร่างกายของท่านไม่เน่าเปื่อย
บรรดาลูกศิษย์ได้เก็บร่างของท่านไว้ในโลงแก้วเพื่อบูชา
บริเวณวัดมีจุดชมวิวสามารถมองเห็นทัศนียภาพของลำน้ำโขงและฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน


อุโบสถสีเงินที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ โขงเจียม


ที่น่าสนใจอีกที่วัดนี้ก็มี "พระธรรมเจดีย์ศรีไตรภูมิ" และพระอุโบสถสีเงิน ที่ดูแปลกกว่าที่อื่น
ที่หน้าผาก่อนทางลงไปกราบสังขารหลวงปู่ ยังมีระเบียงให้ถ่ายภาพ ซึ่งสามารถมองเห็นแม่น้ำสองสีได้เป็นอย่างดี


พระธรรมเจดีย์ศรีไตรภูมิและพระพุทธรูปนาคปรก


พระพุทธรูปในถ้ำ


ออกจากโขงเจียมเราขับเลาะชายแดนขึ้นเหนือ เป้าหมายต่อไปคือน้ำตกแสงจันทร์ หรือน้ำตกลงรู
ซึ่งตามทางที่ผ่านคุณๆก็สามารถแวะชมผาแต้ม ผาชนะไดในอุทยานแห่งชาตินาทามได้

เราแยกออกจาถนนหลักทางขวามมือ และขับเข้าไปอีกพอประมาณก่อนถึงที่ตั้งน้ำตก




"น้ำตกแสงจันทร์" มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า "น้ำตกลงรู "

ซึ่งเรียกตามลักษณะของสายน้ำที่ตกผ่านลงรูหิน
ส่วนที่มาของชื่อน้ำตกแสงจันทร์นั้น เรียกตามสายธารน้ำตก
ที่โปรยละอองผ่านช่องหินลงมาเป็นสีขาวนวลคล้ายแสงจันทร์
โดยเฉพาะในวันเพ็ญ ที่แสงจันทร์จะสาดส่องมาตรงรูหินพอดี
พร้อมกับละอองของธารน้ำตกที่โปรย ดูเป็นประกายสีนวลสวยงามมาก
ซึ่งทั้งหมดนี้คือที่มาของชื่อและเสน่ห์ของน้ำตกแห่งนี้
ที่ยังคงเก็บความงามสงบประสานอย่างกลมกลืนของธรรมชาติไว้ให้เป็นที่ประทับใจ




หมายเหตุ "รูหิน" เกิดจากการถูกน้ำกัดเซาะ
เนื่องจากหินทรายทนตอการถูกกัดกร่อนน้อย กำเนิดของน้ำตกแสงจันทร์
จึงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ลงตัวของ " หินทรายและสายน้ำ " (ที่มา : ป้ายของน้ำตก)

ที่ตั้ง บ้านทุ่งนาเมือง ตำบลนาโพธิ์กลาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี 
(ข้อความทั้งหมดจากป้ายที่น้ำตก)

น้ำตกลงรูหรือน้ำตกแสงจันทร์


ออกจากน้ำตกแสงจันทร์ก็ 4- 5 โมงเย็นแล้ว ตอนแรกเราวางแผนว่าจะหาที่พักแถวๆ อำเภอโพธิ์ไทร 
ซึ่งที่อำเภอนี้ถ้าเรามาตอนหน้าแล้งประมาณปลายมีนา ถึงเดือนพฤษภาคม เราจะได้ชมสถานที่น่าอัศจรรย์ในแม่น้ำโขง
หรือที่เรียกกันว่า "สามพันโบก" .... เมื่อก่อนเราต้องลงเรือที่ท่าสองคอนล่องไปที่สามพันโบก
แต่ปัจจุบันท่านสามรถขับเข้าไปถึงที่ได้เลยครับ

ก่อนจะถึงอำเภอนี้มีเรื่องตื่นเต้นเล็กน้อย คือน้ำมันรถจะหมด (เราเติมแก้สโซฮอลล์ E-85)
เราเริ่มเห็นตั้งแต่ช่องเม็กแล้ว แต่หวังว่าทางด้านหน้าจะมีปั้มที่ขาย E-85 หรืออย่างน้อย E-20 บ้าง
แต่..ไม่มีเลย เราจึงค่อยๆวิ่งไปจนถึงโพธิไทร จึงเจอปั้มที่ขายแก้สโซฮอลล์ 91 ...รอดไป.


เติมน้ำมันเสร็จเราซิ่งต่อ โดยเปลี่ยนใจไปนอนที่มุกดาหาร ซึ่ง GPS บอกว่าจะถึงประมาณ 2 ทุ่ม ซึ่งพอไหวครับ 
แต่เมื่อผ่าน อ.เขมราฐ เราไม่วายที่จะขับวนชมเมืองในยามค่ำด้วย ซึ่งเป็นเมืองเล้กๆสงบน่าอยู่

ซุ้มสุดแดนสยามที่ภูมโนรมย์


ถึงมุกดาหารประมาณสองทุ่ม เราหาที่พักอีก...คราวนี้ได้ที่โรงแรมพลอยพาเลซ ซึ่งเก่าแก่ของเมืองนี้
ออกไปหาอะไรทานกันที่ร้านนัดพบริมโขงแถวๆตลาดอินโดจีน อยู่ใต้ลงมา ซึ่งบรรยกาศดี
เห็นเจ้าของร้าน นึกว่าแอ๊ด คาราบาว..แต่งตัวเหมือนมาก


ทิวทัศน์มุกดาหารและสวรรณเขต ลาว


ตื่นเช้าขึ้นมาเราขับขึ้นเขามโนรมย์ ที่เป็นจุดชมวิงเมืองมุกดาหารอีกแห่ง นอกจากหอแก้ว
ซึ่งที่ภูมโนรมย์วันนี้ทำที่ทางไว้สวยงาม ที่จอดรถกว้างขวางดี ขับขึ้นก็ไม่ยาก
แถมได้ชมวิวแบบเบิร์ดอายดีที่สุดของเมืองมุกดาหารด้วย

หลังจากนั้นเรากลับลงมาที่ตลาดอินโดจีน แวะไหว้พระที่วั ก่อนออกช้อปสินค้าจีนและเวียตนาม


เช้ามาไปไหว้พระที่วัดในตลาดอินโดจีน



วิวแม่น้ำโขงที่ตลาดอินโดจีน


เราออกจากมุกดาหารโดยขับเลียบริมโขงไปที่สะพานมิตรภาพแห่งที่สอง
เก็บภาพในวันที่ครึ้มฟ้า ครึ้มฝนไว้ก่อนเดินทางสู่วัดสองคอน



ถ่ายกับสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2




โบสถ์คริสต์วัดสองคอน

สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานเทิดพระเกียรติบุญราศีมรณสักขีทั้ง 7 ที่อุทิศชีวิตในป่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อ พิสูจน์ศรัทธา ที่ มีต่อพระเจ้า เมื่อครั้งเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากในระยะนั้นผู้คน แถบชายแดนจะศรัทธาและนับถือศาสนาคริสต์กันเป็นจำนวนมาก
และบาทหลวงส่วนใหญ่เป็นชาวฝรั่งเศส ทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิด คิดว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของฝรั่งเศส จึงมีคนกล่าวหากันว่าคนที่นับถือคริสต์ช่วงนั้นจะฝักใฝ่ฝรั่งเศส ทรยศต่อประเทศชาติ รวมทั้งมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นหลายอย่าง ทางการจึงมีคำสั่งให้ชาวบ้านเลิกนับถือ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ยอมรับว่าจะเลิกแต่ก็ ยังนับถือกันแบบลับๆ โดยมีซิสเตอร์พิลา ทิพย์สุข (อายุ 31 ปี) ซิสเตอร์คำบาง ศรีคำฟอง (อายุ 23 ปี) นายศรีฟอง อ่อนพิทักษ์ (อายุ 33 ปี) นางพุดทา ว่องไว (อายุ 59 ปี) นางสาวบุดสี ว่องไว (อายุ 16 ปี) นางสาวคำไพ ว่องไว (อายุ 15 ปี) และเด็กหญิงพร ว่องไว (อายุ 14 ปี) ที่ยังทำหน้าที่เป็นครูสอนคำสอนและไม่รับปากกับทางตำรวจว่าจะเลิกตำรวจจึงนำตัวทั้งหมดไปยิง จนเสียชีวิต
อาคารโบสถ์คริสต์วัดสองคอน


โบสถ์คริสต์วัดสองคอน หรือ สักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขีวัดสองคอน ตั้งอยู่ท่ามกลางบริเวณอันกว้างขวางริมฝั่งโขง ณ บ้านสองคอน ตำบลโป่งขาม อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหารสถานแห่งมรณะสักขี วัดสองคอนแห่งนี้ยังได้ถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่ง ใน สถานที่ Unseen Thailand II “สัมผัสจริงเมืองไทย” ในประเภท “มุมมองใหม่สิ่งศักดิ์สิทธิ์” รวมทั้งได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์คริสต์นิกาย โรมันคาทอลิก ที่ได้ชื่อว่าสวยและใหญ่ที่สุดในอุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย


กำแพงโค้งของโบสถ์ที่มีภาพนักบุญมากมาย



ถึงอำเภอธาตุพนม ก็เข้าไปไหว้พระธาตุ




พระธาตุพนม

เป็นพระธาตุประจำผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ผลจากการขุดค้นทาง โบราณคดี ลงความเห็นว่าพระธาตุพนมสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 1200–1400 ตามตำนานกล่าวว่าผู้สร้างคือ พระมหากัสสปะ พระอรหันต์ 500 องค์ และท้าวพระยาเมืองต่าง ๆ ภายในองค์พระธาตุบรรจุพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ลักษณะ ของสถาปัตยกรรมมีแหล่งที่มาที่เดียวกันกับปราสาทของขอม และได้ทำการบูรณะเรื่อยมา ในปี พ.ศ. 2485 ได้รับการยกฐานะ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกขึ้นเป็น “วรมหาวิหาร” พระธาตุพนมไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครพนมเท่านั้น พระธาตุพนม ยังเป็นที่เคารพของชาวไทยภาคอื่น ๆ และชาวลาวอีกด้วย ว่ากันว่าถ้าใครได้มานมัสการพระธาตุครบ 7 ครั้ง จะถือว่าเป็น “ลูกพระธาตุ” เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและจะมีความเจริญรุ่งเรือง หรือแม้แต่การได้มากราบพระธาตุพนม 1 ครั้ง ก็ถือ เป็นมงคลแก่ชีวิตแล้ว

 


เราเข้าไปไหว้พระธาตุ ทำบุญ และเดินเก็บภาพอยู่ประมาณชั่วโมง ก่อนจะเดินทางกลับ

ตามเส้นทางเลียบแม่น้ำโขงยังมีอะไรมากมายให้ท่านได้เที่ยวชม
โดยสามารถขับเลียบไปเรื่อยเลยจาก อ.ธาตุพนมไปประมาณ 10 กม. ก็สามารถแวะ อ.เรณูนคร
ขับต่อไปเรื่อยๆ ผ่านนครพนม บึงกาฬ หนองคาย จนไถึงเชียงคาน จ.เลย
ท่านจะได้ชมวัฒนธรรม วิถีชีวิต แหล่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมไปถึงสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนา

ถ้ามีโอกาสผู้เขียนจะรวบรวมเรื่องการเดินทางต่อจากนี้มาให้อ่านครับ
สำรับบล๊อกนี้ขอจบเพียงแค่นี้ ขอบคุณที่ตามอ่านนะครับ



ลากันด้วยภาพนี้ครับ





 

      

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

ภูชี้ฟ้า....เชียงราย




5 ธันวาคม 2553 .. เราเดินทางมาถึง อ.เทิงตอนใกล้มืดแล้ว ประมาณ 5โมงเย็นเศษๆ เข้าต.เวียง ไปจอดที่ปั๊มน้ำมันบางจากทางออกไปภูชี้ฟ้า พอดีเหลือบไปเห็นป้ายที่ร้านข้างปั๊มน้ำมันบอกว่า ติดต่อที่พักภูชี้ฟ้า... ใจดีขึ้นมาโขเลย เพราะการหวังอาศัยน้ำบ่อหน้านั้น มันก็มีความเสี่ยงพอสมควร

"พี่ครับเห็นบอกหน้าร้านว่ารับจองที่พักภูชี้ฟ้าใช่ไหมครับ"
"ค่ะติดต่อที่นี่ได้เลย แต่ช่วงนี้คนมาเยอะ ขอเช็คดูก่อนนะคะ".....

คุณปราณี เจ้าของร้านบอกเรา และพยามโทรเช็คว่าด้านบนนั้ยังพอมีที่ว่างหรือเปล่า ประมาณ 5 นาทีผ่านไป เธอหันมาคุยกับเราที่กำลังสาละวนกับการเลือกเครื่องดื่มในร้านอยู่

"เสียใจด้วยนะคะ ห้องเต็มหมดแล้ว"

อ้ายหวังตายแน่ เราเดินออกไปเหมือนจะเข้าห้องน้ำ และเปิดเบอร์โทรที่เราเอาติดมาด้วยจากเวปหนึ่ง.... โทร โทร...และโทร ปรากฏว่าเต็มหมด กำลังใจที่ให้กลับมา คือให้เราลองเสี่ยงไปดู

"ขอบคุณครับพี่"
"ลองดูก็ได้นะคะ เดี๋ยวจะโทรบอกน้องให้เตรียมเต้นท์ไว้ให้ ขึ้นไปถึงแล้วลองโทรดูอีกครั้ง"
.....

"ถ้าผมขับไปตอนนี้ จะขึ้นเขาได้ไหมครับ"
"ถนนดีค่ะ แต่ต้องไปทางตรงนะคะ อย่าแยกขึ้นทางน้ำตกภูซาง เพราะถนนแคบ วันนี้ก็มีตกคันหนึ่ง"

เราบอกลาคุณปราณีที่ปั๊มแล้วขับออกไปตายเอาดาปหน้า ลุย... หมูไม่กลัวน้ำร้อนซะอย่าง ถ้าสุดท้ายไม่มีที่พัก เต้นท์ที่ติดมาบนรถเราก็พอช่วยได้ล่ะน๊า..เราเดินหน้าโดยมีจุดหมายคืนนี้ที่ "บ้านร่มฟ้าไทย" จากเทิงไปตามถนนหมายเลข 1021 ประมาณ 6 กม. แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามสาย 1155 ระยะทางประมาณ 40 กม. แต่ขับนานเป็นชั่วโมง เพราะไม่เคยทางและเป็นตอนค่ำด้วย..

นั่นคือครั้งแรกที่เราไปภูชี้ฟ้าครับ



 
ถึงทางแยกเข้าหมู่บ้านร่มฟ้าไทย


กว่าจะถึงที่พัก

หลังจากที่ขับมาเรื่อยๆ เพราะมืดและไม่เคยทาง เวลา 19.25 น.เราก็มาถึงทางแยกที่จะขึ้น อช.ภูชี้ฟ้าและบ้านร่มฟ้าไทย ตอนนี้เริ่มงงว่าจะไปทางไหนดี.... วิธีที่ดีที่สุดคือถามเอากะเจ้าหน้าที่นั่นแหละ

"ตรงนี้แหละพี่ ถ้าจะขึ้นไปด้านบน ตอนนี้เต็มแล้วเราคงอนุญาตไม่ได้ พี่น่าจะไปหาที่พักในหมู่บ้านดีกว่า"

แล้วฉันจะไปยังไงต่อเนี่ย.... คิดได้เลยโทรถามรีสอร์ทที่เราติดต่อไว้

"มีห้องหนึ่งแขกจองไว้และไม่มาเขาให้ขายให้ ราคา 2400 บาท นอนได้ 4 คนพี่"
"ไหนๆก็ดึกแล้วขอซัก 2000 ไม่ได้เหรอครับ"
"เดี๋ยวถามพี่เขาก่อนนะ"

รอซักพักเราก็ได้ห้องสมปราถนา ไป 2 คนพักห้องนี้แหละ เอาให้ได้อาบน้ำก่อนแล้วกัน... หลังจากนั้นก็นัดแนะเจ้าของรีสอร์ทมารับ รออยู่ซักพักก็เห็นผู้ชายขับมอเตอร์ไซด์มาหา เราขับตามไปตามถนนที่ผ่านตลาดกลางคืนกำลังเปิดอยู่นักท่องเที่ยวเดินกันเต็มไปหมด...

ถึงที่พักแบบเป็นห้องๆ ตั้งอยู่บนเนินเขาหันหน้าไปทางตลาดกลางคืน เราเข้าไปดูห้อง.... ก็พอนอนได้ อยู่บนเขาอย่างนี้ได้แค่นี่ก็ดีแล้วนี่นา
ห้องพักไม่กว้างนักถ้านอน 4 คนจริงก็แบบเกือบเบียดกันเลยล่ะ มีห้องน้ำเล้กๆในตัว พร้อมน้ำอุ่น ราคาหน้านี้รวมอาหาร 2 มื้อคือ เย็นวันนี้ และ พรุ่งนี้เช้า... (ปกติห้องนี้ถ้าไม่ใช่หน้า High season ก็จะขาย 800 บาทไม่รวมอาหารเช้า-เย็น).

 
บ้านร่มฟ้าไทย ยามค่ำคืน


ที่ช้อปก็มี

ขับมาทั้งวันได้น้ำอุ่นในขณะที่อากาศด้านนอก 12-15 องศาก็ทำให้เลือดสูบฉีดขึ้นมาอีก.... ออกไปนั่งทานมื้อเย็น ซึ่งเจ้าของรีสอร์ทเขาจัดไว้ให้ ก็ดูดีนะ ถึงแม้จะเป็นแบบชนบท... ผัดยอดผัก ไข่เจียว ต้มยำไก่ พร้อมข้าวสวย... โอ้โฮเฮะ อร่อยดีจัง แถมน้ำอมฤติอีก 2 ขวด อันหลังนี่ลืมเหนื่อยเลย

หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งกำลังร้องคาราโอเกะอยู่โต๊ะข้างๆอย่างสนุกสนาน ก็น่าอยู่หรอกเพราะเจ้า Black lable พร่องไปตั้งเยอะแล้ว... อากาศลดลงมาที่ 12 องศาต้องกลับไปเอาเสื้อมาสวมทับ ทำให้ดูเหมือนว่าตัวเองอยู่เมืองหนาวขึ้นมาทันใด...

หมดเบียร์ไป 2 ขวดก็ชวนกันไปเดินช้อบปิ้งด้านล่าง ที่ถนนคนเดิน หรือ Night Plaza ของบ้านร่มฟ้าไทย ได้อะไรต่อมิอะไรมาเยอะแยะ แต่ที่นี่น่าลองที่สุดคือ "โรตีภูชี้ฟ้า"

เกือบสี่ทุ่มครึ่งพลังที่เติมมาเมื่อซักชั่วโมงที่แล้วก็หมด กอปรกับอากาศที่กำลังเย็นลงเรื่อยๆ เลยพาตัวเองกลับไปซ่อนตัวในผ้าห่มนวมที่ห้องนอน....วันนั้นหลับเป้นตายจนลืมว่าใครคนหนึ่งนอนอยู่ข้างๆ มารู้ตัวอีกครั้งก็เสียงคนเดินด้านหน้าห้อง...หรือว่านี่ตีห้าแล้วนะ

 
ถนนคนเดินที่บ้านร่มฟ้าไทย


อีกภาพ....ด้านหลังนั่นคือรีสอร์ท


รีสอร์ท ตั้งเต็มไปตามไหล่เขา






ขึ้นภูชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้า

รถที่จะมารับขึ้นภูตอนเช้านัดกันไว้ตีห้า ทางรีสอร์ทบอกเราว่าจะไปปลุกตีสี่ครึ่ง (ที่ว่า "ไป" คือไปเคาะห้อง เพราะ Morning call แบบใช้ทรศัพท์ไม่มีบริการ) เพื่อออกไปทานกาแฟ (ฟรี) รอที่ห้องอาหารของรีสอร์ท

การขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้า สะดวกที่สุดคือไปกับรถ อบต. ราคาคนละ 80 บาท ไป-กลับ ถ้าไม่รู้จักก็ให้ไปรอที่จุดบริการนักท่องเที่ยวได้เลย รถจะออกจากที่นั่น ยกเว้นที่บางท่านพักในรีสอร์ท เจ้าของแต่ละที่จะนัดรถมารับ..

เวลาที่ขึ้นไปค่อนข้างเช้าและมืดเราควรเตรียมพวกไฟฉายติดตัวไปด้วย... แต่ทางที่ดีควรเอาไก๊ด์ ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนแถวนั้นนำทาง (ค่าบริการ แล้วแต่น้ำใจ) เขาจะมีทั้งไฟฉายและเสื่อไปด้วย...สำคัญที่สุดคือเขารู้จักที่ๆจะไปชมวิวและถ่ายภาพครับ วันนั้นเรานัดหนุ่มน้อย ป.6 ไว้หนึ่งคนให้มารอเราตอนเช้าจะได้ไปด้วยกัน...

รถปิกอัพแบบโอเพนแอร์แต่มีที่นั่งสองฝั่ง พาเราขึ้นสู่จุดชมวิว เสียงเครื่องยนต์ดังลั่น น่าจะเป็นเกียร์ 1-2 พร้อมเสียงเบิ้ลคันเร่งเป็นระยะๆ ผ่านที่ทำการ อช.ภูชี้ฟ้าซึ่งมีนักท่องเที่ยวมากางเต้นท์กันจนเต็มพื้นที่ เราผ่านโค้ง ผ่านที่ลาดชันเท่าไหร่จำไม่ได้ ไม่นานก็มาถึงที่จอดรถ.... สิ่งควรทำตอนนี้คือจำป้ายทะเบียนไว้ให้ดี (แต่จริงๆแล้วขาลงๆคันไหนก็ได้ แต่ว่าถ้าเจอเขามาเป็นคณะ ที่ว่างจะไม่มีให้เรา คันที่เราขึ้นมาจะสะดวกที่สุด) ถ้าไม่อยากจำก็เอามือถือถ่ายไว้ก็ไม่ผิดกติกาครับ

ลงจากรถต้องเดินขึ้นไปอีก 760 เมตรครับ ทางเดินไม่เรียบ รองเท้าที่เตรียมไปควรเป็นหุ้มส้น หรือพวกกันข้อแพงก็ยิ่งดี ตอนนี้สนุกมาก เสียงเฮฮา คุยหยอกล้อกัน หยุดถ่ายภาพตามทาง เหมือนสมัยไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูกระดึงเลยล่ะ ต่างกันแค่ตอนนั้นไปกับแฟน แต่ตอนนี้ไปกับภรรยาเท่านั้น (ฮา).....

เริ่มเห็นสีแสงบนฟ้าแล้ว


การขึ้นไปชมวิวที่ภูชี้ฟ้าถ้าอยากได้ภาพแบบที่เขาไปถ่ายกันมาลงในหนังสือ หรือเอาแบบไม่สวย(แต่พอดูได้)เหมือนในบล๊อกนี้ ก็ต้องไปชั้นล่างก่อน เด็กไก๊ด์เราที่ว่านั่นแหละรู้จักดี เขาจะพาเราแยกออกไป ถ้ากรุ๊ปไหนไม่รู้ก็จะไปด้านบนที่จุดชมวิวก่อน ซึ่งอาจจะสายเมื่ออยากมาด้านล่างนี้ เพราะคนจองที่เต็มหมดแล้ว

เราก็อาศัยไก๊ด์ชั้น ป.6 ที่พามานั่นแหละแยกออกไปปูเสื่อรอ เจ้าหนูบอกว่าจะเล่นกะผา หรือถ่ายรูปปากสิงห์โต ก็ตรงนี้แหละ.... วันนั้นเลยกลายเป็นว่าเราไปก่อนเลยได้ปูเสื่อนั่งรอสบายๆ....เสียดายที่ว่าวันนั้นไม่เจออาทิตย์ดวงโตเหมือนไข่เป็ดเพราะเมฆมาบังก่อน


หน้าผาทะมึนด้านหน้า..นั่นแหละจุดชมวิวภูชี้ฟ้า


สีทองเริ่มจับขอบฟ้าทางฝั่งลาวมากขึ้น


เมื่อฟ้าเริ่มสาง...ตรงหน้าเราคือทะเลหมอกอันกว้างใหญ่


มุมหมาชน..ก็เด่นชัดขึ้น





นักท่องเที่ยวกกำลังเก็บเอาความงามยามเช้า


ภาพแบบนี้จะมีให้เห็นวันละประมาณ 1 ชั่วโมง


อีกภาพ


เล่นกะผา


ให้เท่าไหร่..แล้วแต่น้ำใจค๊า...


พอแสงส่องมองหน้ากันเห็นชัด หนูน้อยเหล่านี้ก็จะแต่งตัวแบบว่าสวยที่สุดมาให้พี่ๆถ่ายภาพกัน..... ไอเดียนี้ดีแฮะ คนอยากได้ภาพคู่กับพวกเธอก็ไม่ต้องอายไปขอถ่าย เพียงแค่จ่ายค่าทิปให้หนูๆเหล่านั้นตามแต่น้ำใจ


 
สายขึ้นมาอีกนิด


ไทยและลาว แค่ภูเขากั้นกลาง....บ้านร่มฟ้าไทยอยูไหล่เขาด้านขวา




ด้านที่เป็นทะเลหมอกนั่น เป็นแผ่นดินของประเทศลาวครับ จริงๆแล้วหลายคนก็ไม่แน่ใจว่าเขตแดนจริงๆอยู่ตรงไหน.... หมอกวันนั้นคลุมพื้นที่อย่างกะเมฆหน้าฝน คือไม่สามารถมองผ่านลงไปเห็นแผ่นดินได้เลย


ที่จุดชมวิว


ภูชี้ฟ้า 1,628 เมตร


ตอนเดินลง ถ่ายกลับไปที่จุดชมวิว


ขากลับลงมาไก๊ด์ตัวน้อยเราบอกว่าดอกนางพญาเสือโคร่งที่นี่ก็เริ่มออกแล้ว เรามองออกไปทางไหล่เขาด้านขวา (น่าจะทางทิศเหนือ) ก็เห็นดอกสีขาวอมชมพูออกบานสะพรั่งหลายต้น..... นักท่องเที่ยวที่พบกันวันนั้น บอกว่าที่ผาตั้งออกดอกเต็มต้นแล้ว เสียดายที่เราไม่มีเวลากลับไปทางนั้นอีก...

 
ทางเดินลง อีกด้านจะไกลกว่าทางขึ้นนิดหน่อย



กำลังขอถ่ายภาพกับเด็ก


ทะยอยลงมาที่จอดรถ


กลับมาถึงที่พักคราวนี้เจ้าของรีสอร์ทก็เตรียมข้าวต้มไว้ให้สำหรับมื้อเช้า ข้าวต้มเห็ดหอมเช้านั้นอร่อยมาก (หรือว่าเราเหนื่อยมากก็ไม่รู้).... เราเติมพลังเต็มที่เพราะมีกับข้าว 2-3 อย่างให้ ก่อนที่จะกลับห้องไปแพ็คกระเป๋าอำลาบ้านร่มฟ้าไทย เดินทางต่อไปที่จังหวัดน่านตามเส้นทางที่ไม่เคยผ่าน คือถนนลอยฟ้าสาย 1148 จากเชียงคำ - สองแคว จ.น่าน

เป็นครั้งแรกที่เราได้มาภูชี้ฟ้า และพบกับบรรยากาศแบบที่เราอยากเห็น แม้จะต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อขึ้นเขาไปนั่งรอชมพระอาทิตย์ขึ้นก็ตาม.... แต่ความสวยงามที่เห็นมันคุ้มค่ามากมาย ซึ่งผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นภาษาเขียนและภาพได้ดีเท่าของจริง เพราะมันเกินปัญญาอันน้อยนิดของผม.... ถ้าอยากรู้ว่าอรุณรุ่งที่ภูชี้ฟ้าจะสวยงามปานใด ลองหาโอกาสไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งนะครับ.


ผลไม้ตุ๊กตา..ยอดฮิต ทานไม่ได้แต่แปลกดี


กลับถึงที่พัก



ข้อมูล :

วนอุทยานภูชี้ฟ้า ตั้งอยู่บริเวณบ้านร่มฟ้าทอง หมู่ที่ 9 และบ้านร่มฟ้าไทย หมู่ที่ 10 ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย อยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่อิงฝั่งขวาและป่าแม่งาว มีเนื้อที่ประมาณ 2,500 ไร่ ประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยานเมือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541

วนอุทยานภูชี้ฟ้าเป็นยอดเขาสูงในเทือกเขาดอยผาหม่น ติดชายแดนไทย - สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ภูชี้ฟ้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงราย ทุกๆ ปีจะมีผู้มาท่องเที่ยวทั้งในจังหวัดเชียงรายและต่างจังหวัดมาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์) สื่อมวลชนทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ลงบทความประชาสัมพันธ์อยู่เสมอ ทำให้มีผู้มาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นทุกปี



สถานที่ติดต่อ

วนอุทยานภูชี้ฟ้า ต.ปอ อ. เวียงแก่น จ. เชียงราย 57310
โทรศัพท์ 0 5371 4914 โทรสาร 0 5371 1961 อีเมล reserve@dnp.go.th

ที่มา : วนอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า


การเดินทาง

รถยนต์

1. อยู่ห่างจากเชียงราย 111 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 1020 เข้าสู่อำเภอเทิง จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข 1155 จนถึงทางแยกขวาขึ้นสู่ภูชี้ฟ้า (ที่บ้านเซ็งเม้ง) หรือใช้บริการรถโดยสารประจำทางสายเชียงราย-เทิง ลงรถที่อำเภอเทิง จากนั้นเช่ารถขึ้นไปภูชี้ฟ้า การเดินทางไปภูชี้ฟ้าโดยรถตู้ประจำทางสาย2402 เชียงราย-บ้านร่มฟ้าไทย(ภูชี้ฟ้า) ที่สถานีขนส่งจังหวัดเชียงราย ทุกวัน เวลา 7.15น.และ13.15น. คนละ 80 บาท

จากภูชี้ฟ้าสามารถเดินทางไปยังดอยผาตั้ง อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยอยู่ห่างออกไปตามเส้นทางหลวงจังหวัดสาย 1093 เป็นระยะทาง 25 กิโลเมตร และจากดอยผาตั้งยังสามารถเดินทางต่อไปยังอำเภอเชียงของ อำเภอเชียงแสน และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายได้อีกด้วย
(เส้นทางนี้ถนนดี สร้างใหม่ใกล้กว่า...จขบ.ใช้เส้นทางนี้ขาขึ้น)



2. ภูชี้ฟ้าอยู่ห่างจากอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ประมาณ 144 กิโลเมตร การเดินทางจากอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ไปยังภูชี้ฟ้าได้ตามแนวเส้นทางดังนี้
- จากอำเภอเมืองเชียงรายไปอำเภอเทิง ผ่านสามแยกโรงเรียนภูซางวิทยาคม บ้านสบบงและสามแยกบ้านม่วงชุมแล้วเดินทางต่อไป ก็จะถึงภูชี้ฟ้า
- ไปตามทางหลวงจังหวัดสาย 1093 ผ่านน้ำตกภูซาง ด่านบ้านฮวก ศูนย์ส่งเสริมเกษตรที่สูงดอยผาหม่น

เส้นทางสายนี้เป็นทางลาดยาง ผ่านจุดท่องเที่ยวสำคัญ 3 แห่งได้แก่
- น้ำตกภูซาง (อุทยานแห่งชาติภูซาง) และด่านบ้านฮวก
- หมู่บ้านชายแดนไทย - สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- ศูนย์ส่งเสริมเกษตรที่สูงดอยผาหม่น ทดลองและส่งเสริมปลูกไม้ดอกเมืองหนาว เช่น ทิวลิป ลิลลี่
(ทางสายนี้เป็นสายเดิม แคบและหักข้อศอกช่วงขึ้นเขาหลายที่ เหมาะที่จะเดินทางกลับจากภูชี้ฟ้าลงไป อ.เทิง)

ลากันด้วยภาพทะเลหมอกที่ภูชี้ฟ้าครับ