วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2563

มุยเน่ ... ทะเลทรายในเวียตนาม

 

 
 
อัพบล๊อกวันนี้เป็นบล๊อกที่ 3 และเป็นวันที่ 3 ของการเดินทางสู่เวียตนามทางตอนใต้ โดยที่ 2 บล๊อกแรกเราพาเที่ยวที่ดาลัต เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของเวียตนามทางตอนใต้ จนเมืองนี้ได้รับขนานนามว่า "ปารีสแห่งตะวันออก"  (อ่านบล๊อกที่ 2 ) ... วันนี้เราเดินทางลงจากเมืองดาลัตเพื่อไปเที่ยวที่เมืองมุยเน่ หรือ มุยแน้ ที่มีสถานที่เที่ยวแปลกและสวยงามอีกแห่งหนึ่งของเวียตนามครับ.
 
 


แผนที่การเดินทางดาลัต-มุยเน่

 
หลังมื้อเที่ยง เราเดินทางลงเขาจากดาลัตลงไปทางใต้เป้าหมายคือฝั่งทะเลด้านตะวันออกของประเทศเวียตนาม ที่หมู่บ้านมุยเน่ จังหวัดฟานเทียตและจะพัก 1 คืนที่โรงแรม Sea Link Beach Hotel ครับ .... จากดาลัตลงมาที่มุยเน่ เป็นเส้นทางลงเขาแบบ2 เลนส์ สวนทางกันไปมา บางช่วงก็เป็นทางหักข้อศอกลงเขา จากดาลัตมีเส้นทางที่สามารถไปสู่นครโฮจิมินห์ได้ ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่ดีกว่าแม้จะเป็นถนนแบบสองเลนส์สวนกันก็ตาม ...  ระยะทางจากดาลัตไปมุยเน่หรือมุยแน้ แค่ 154 กม. แต่ต้องใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง

ถนนสายนี้ (QL28B) ที่มาบรรจบกับสาย 1 หรือ QL1A (สายหลักของเวียตนามที่เชื่อมเหนือ-ใต้) นั้น ตอนฝรั่งเศสปกครองเวียตนามก็ใช้สายนี้แหละเชื่อมต่อเข้าดาลัต เพื่อปราบปรามพวกที่แข็งข้อ ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสแพ้สงครามที่เดียนเบียนฟู อเมริกาก็เข้ามาแทนและได้ซ่อมแซมถนนสายนี้เพื่อใช้เป็นสายยุทธศาสตร์เช่นกัน แต่ปากก็บอกว่าทำเพื่อให้การเดินทางของประชาชนดีขึ้น ซึ่งก็มีส่วนจริงอยู่เช่นกันครับ
 


ถนนสายดาลัต - มุยเน่ 
 
ตามเส้นทางที่ลงไปสู่มุยเน่ ช่วงแรกๆจะเห็นเขาปลูกกาแฟเป็นไร่กว้างใหญ่ โดยไกด์เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนชนเผ่าที่มารับจ้างปลูกกาแฟในปัจจุบัน มักจะเป็นกลุ่มที่ชอบทำไร่เลื่อนลอย (เหมือนๆชาวเขาบ้านเราสมัยก่อน) รัฐบาลเขาเลยหาทางทำให้เขาไม่บุกรุกป่าเรื่อยเปื่อยออกไปอีก โดยเปิดให้มาสมัครเป็นลูกจ้างรัฐบาลทำไร่กาแฟ และจัดสรรที่พักอาศัยให้ ซึ่งเราก็ผ่านนิคมเหล่านั้น ... พอเข้าเขตจังหวัดฟานเทียตเราเห็นแผ่นดินค่อนข้างจะแห้งแล้ง แต่ก็มีไร่ลูกแก้วมังกรใหญ่ๆมากมาย เกษตรกรชาวเวียตนามใช้ระบบให้น้ำแบบต่อท่อกันทั่วไป ถึงแม้พื้นดินจะค่อนข้างแห้งแล้งแต่ยังมีประชากรอาศัยอยู่มากมายเช่นกัน เพราะเวียตนามมีประชากรเกือบๆร้อยล้านคน พื้นที่ประเทศเพียง 331,689 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นที่ส่วนมากเป็นภูเขา ประชากรจึงต้องมาอยู่ในพื้นราบ จึงทำให้มีบ้านเรือนอยู่กันอย่างหนาแน่ เวลารถวิ่งจึงต้องลดความเร็วเมื่อผ่านชุมชนเหล่านั้นครับ
 


White Sandunes, Mui Ne.

 
จุดหมายปลายทางวันนี้เราอยู่ที่มุยเน่ แต่เราต้องผ่านะเลทรายขาว (White Sandunes) ซึ่งคำแปลจริงๆคือ สันทราย เราจึงแวะที่นี่ก่อนเลย ... มันแปลกแต่จริงครับ คือเจ้าไวท์แซนดูนส์นี่มันเหมือนทะเลทรายยังไงยังงั้นครับ แถมอยู่ข้างๆยังมีทะเลสาบเล็กๆทำให้บรรยากาศดีขึ้นด้วย ... การจะชม White Sandunes ให้ได้อรรถรสจำเป็นต้องนั่งรถจี๊บเข้าและขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่ในมุมที่ดี และถ่ายภาพบนสันทราย หรือ Sandunes ได้อย่างสวยงาม ราคาต่อหัวก็คนละ 200 บาท (ไม่รู้เหมือนกันทำไมมันลงตัวขนาดนั้น) เจ้ารถจี๊บนั่นก็นั่งรวมกันไปคนละ 6 คน บางคันขับซิ่งด้วยนะ ขับให้เหมือนสิงห์ทะเลทรายเลย


รถจี๊บและรถ ATV ลุยทะเลทราย (ขอบคุณภาพจากเวบ)
 
White Sandunes อยู่ทางเหนือของมุยเน่ประมาณ 27 กม. มีพื้นที่กว้างใหญ่พอสมควรยาวตามชายทะเลถึง 20 กม. ว่ากันว่ามันเกิดจากการที่พายุพัดกระหน่ำชายฝั่งของเวียตนามในแต่ละปี ไวท์แซนดูนส์และเรดแซนดูนส์จะเป็นบัพเฟอร์ที่ดี บริเวณนี้จึงกลายเป็นที่โล่งแบบทะเลทรายเหมือนที่เห็นครับ ทรายที่นั่นละเอียดมากๆ สีทรายขาวเหลืองสวยงาม เหมาะจะไปเดินเล่นยามเช้าและยามเย็นครับ สำหรับท่านที่มาจากโฮจิมินซิตี้ก็สามารถมาได้ทั้งทางรถไฟและทางรถยนต์ โดยรถไฟราคา 8 ดอลล่าร์สหรัฐ ลงที่มุยเน่แล้วจ้างแท๊กซี่ไปส่งได้ หรือเช่ารถจี๊บมาเลยก็ได้ครับ
 






@ Whit Sandunes



สันทรายขาวกับรถจี๊บ




White Sandunes @ wide angle.

..............

 
จาก White Sandunes เราลงใต้ไปต่อที่ Red Sandunes ซึ่งอยู่ห่างจาก white sandunes 10 กม. ซึ่งเจ้าทะเลทรายสีแดงนี้ อยู่ติดทะเลมากกว่าทะเลทรายขาวและอยู่ใกล้มุยเน่มากกว่า คือจากมุยเน่ไปทะเลทรายแดงระยะทางประมาณ 17 กม และจากทะเลทรายแดงขึ้นไปทางเหนืออีก 10 กม. ก็เป็นทะเลทรายขาวครับ ... ลักษณะที่นี่เป็นทะเลทรายสีแดง แต่ทรายไม่ละเอียดเท่ากับทะเลทรายขาวที่ผ่านมา มีเนินสูงที่มองเห็นดวงอาทิตย์ตกน้ำได้ (เนื่องจากฝั่งทะเลจะเฉียงๆไปทางตะวันตกนิดๆ) ... ทะเลทรายแดงมีพื้นที่ประมาณครึ่งตารางกิโลเมตร เหมาะที่จะมาชมในช่วงเช้าและเย็น ที่ทะเลทรายแดงมีเด็กให้เช่าแผ่นพลาสติกสำหรับสไลด์ลงจากเนินทรายที่ฝรั่งเรียกว่า Sand-sledding เวลาเช่าคุยราคากันให้ดีนะครับ และอย่าพึ่งเอาสะตังค์ออกมาโชว์ก่อนนะจนกว่าจะต่อรองกันเรียบร้อย เพราะหลายคนเคยเจอจิ๊กเงินไป (มีคนเล่าให้ฟัง)


ขึ้นสันทรายไปแบบนี้



ผู้คนรอชมพระอาทิตย์ตกที่สันทราย



ทรายกับอ๋าวหญ่าย



อาทิตย์กำลังอัสดงที่ Red Sandunes.



เย็น...พอดีกับมื้อเย็น เราแวะร้านอาหารที่ชายทะเลมุยเน่ ซึ่งอยู่ติดทะเลจริงๆ เลยร้านออกไปไม่ถึง 10 เมตรก็เป็นทะเลเลย มื้อเย็นวันนี้จึงเป็นการทานที่คลายเครียดจากการเดินทางและแวะเที่ยวมา 2 ที่ได้ดีมากๆ เบียร์ไฮน์ดาวแดงที่นี่จึงหมดไปโหลครึ่งแบบมึนๆ

..........
 
 

พนักงานต้อนรับที่ Sea Link Beach Hotel
 
จากร้านอาหารเรามาพักที่โรงแรมซีลิงค์บีช ซึ่งเป็นโรงแรมใหญ่มีชายหาดส่วนตัว, หมู่บ้าน, และสนามกอล์ฟด้วย พื้นที่ตั้งค่อนข้างดีอยู่เป็นส่วนตัว ระเบียงทุกห้องหันไปรับลมทะเลหมด แถมมีสระว่ายน้ำอยู่ทางด้านชายหาดด้วยครับ โรงแรมนี้เป็นโรงแรมระดับสี่ดาว แต่สภาพทั่วไปดีเหมือนกับห้าดาวเลยครับ ระดับการบริการใกล้เคียงบ้านเราเลย ... พอเข้าไป Lobby ได้กุณแจห้อง ทีนี้ก็เริ่มแปลกล่ะ เพราะห้องเราดันไปอยู่ที่ชั้น B3 แต่ปรากฎว่าที่เขาเป็นเนิน ลดระดับลงหาทะเลห้องพักเลยถูกสร้างให้อยู่ต่ำกว่าชั้นล้อบบี้ (เวียตนามมักจะเห็นแบบนี้หลายที่ เช่นที่ซาปา ห้องพักบางโรงแรมก็ต่ำกว่าชั้นล้อบบี้) ... สภาพในห้องทั่วไป ห้องกว้าง มีระเบียงพร้อมเตียงนอนรับลมทะเล ถัดออกจากตัวโรงแรมไปเป็นสวนมะพร้าว (เรียกาสวนเพราะปลูกไว้เยอะมาก คงรับแรงลมได้ดีกระมัง) และสระว่ายน้ำ จากตรงนั้นสามารถเดินออกทะเลได้ครับ 
 
 

Sea Link Beach Hotel Sea side.



Sea Link Beach Hotel Golf Course



For Golfers
ราคาเป็นเงินไทยคร่าวๆก็ กรีนฟี + แค้ดดี้ 2500 บาท รถกอล์ฟนั่งคนเดียว 690.- บาท นั่งคู่ 1096.-บาท ราคาต่อ 18 หลุมนะครับ
เสียดายผู้เขียนไม่มีโอกาสไปเล่น ทั้งๆที่ก๊วนอยากเล่น แต่เรามีโปรแกรมไปต่อน่ะครับ



ที่ระเบียงร้านอาหารโรงแรม





ยามเช้าที่ Sea Link Beach Hotel



สระว่ายน้ำโรงแรม



อาหารเช้าที่โรงแรม



มีบรรเลงเปียโนแบบสดๆ เล่นเพลงสากลยุคเก่าๆเพราะมาก



อาหารเช้าที่โรงแรมซีลิงค์บีช...ถือว่าใช้ได้



ถ่ายภาพร่วมกันที่หน้าโรงแรมก่อนออกเดินทาง

................
 
ออกจากโรงแรม Sea Link Beach Hotel เช้านี้เราเหลือโปรแกรมที่มุยเน่แค่ 2 ที่ (ทางทัวร์เขาแถมมา 1 ที่) คือและถ่ายภาพที่อ่าวจอดเรือประมง แล้วไปต่อที่ลำธารนางฟ้า หรือ Fairly Stream แล้วไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารชายทะเล ก่อนเดินทางสู่ไซ่ง่อน
 


แผเดินทางเช้าวันที่ 15 กพ. 2020
 
ตามแผนที่ด้านบน เราออกจากโรงแรมและวิ่งรถย้อยไปด้านเหนือประมาณ 16 กม. ถนนเชื่อรอบนอกที่จะไป sandunes ทั้ง 2 แห่งพัฒนาเป็นสี่เลนส์ วิ่งง่ายหน่อย ก่อนที่เราจะขับเข้าไปชายทะเลเพื่อแวะถ่ายภาพที่ Mui Ne Habour ตรงจุดที่เรียกว่า Mui Ne Fishing Village แถวนั้นจะมีตลาดปลาสดๆมาขายมากมายครับ เราสามารถไปเดินเลือกซื้อหรือชมชีวิตความเป็นอยู่พวกเขาได้

สมัยก่อนหมู่บ้านมุยเน่เป็นที่ชาวเรือมาอาศัยหลบพายุ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าพายุจะมาจากด้านไหน ซึ่งมุยเน่เป็นแหลมยื่นออกไปในทะเลจีนใต้ ซึ่งยื่นลงไปทางใต้ดังภาพ เมื่อพายุมาทางตะวันออก เรือก็จะมาหลบตรงอ่าวที่เราไปถ่ายภาพ กลับกันเมื่อพายุมาอีกทางเขาก็จะไปหลบอีกด้าน ... มุยแน้ หรือ มุยเน่ หมายถึง มุมหลบ
 
 
        
อ่าวมุยเน่ ที่จอดเรือประมงมากมาย
 
ทีนี่มาเล่าเรื่องวิถีผู้คนที่นี่นิดหนึ่ง (จำไกด์เขามา) ว่าเมื่อก่อนคนที่นี่ยากจน พื้นดินรอบๆปลูกอะไรไม่ค่อยได้ผล ที่เห็นมีมากก็นี่แหละเจ้าลูกแก้วมังกร ซึ่งเป็นต้นพันธุ์สำหรับประเทศไทยเราด้วย เพราะพื้นดินที่แห้งแล้งจนเกือบเป็นทะเลทราย เช่น White Sandunes และ Red Sandunes อย่างที่เห็น ชาวบ้านที่มุยเน่จึงทำอาชีพประมงกัน แต่ก็ไม่ใหญ่โตนัก อาชีพประมงก็พออยู่ได้ ... พอเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2538 มีปรากฏการณ์สุริยุปราคา ชาวเวียตนามแห่กันมาชมปรากฏการณ์นี้ที่มุยเน่ เพราะคนมามากรถราก็เยอะต้องจอดอยู่ห่างไกลออกไปแล้วเดินเข้ามา จึงเกิดธุระกิจ รถเช่า บ้านเช่า ฯลฯ เมื่อผู้คนมาที่นี่เยอะก็ย่อมมีนักธุระกิจเข้ามาด้วย พวกนักธุรกิจนี้เลงเห็นว่าที่นี่มีแหล่งที่น่ามาพักผ่อน ท่องเที่ยว อย่างเช่นอ่าวจอดเรือนี้เป็นต้น พวกเขาจึงเข้ามากว้านซื้อที่ดิน ทำเป็นโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร นับตั้งแต่นั้นมา มุยเน่ก็ได้รับการโปรโมตเป็นแหล่งพักผ่อนชายทะเล จนบางคนที่นั้นเรียกว่า "พัทยา2"  แต่สภาพจริงๆมุยเน่ยังบริสุทธิกว่าพัทยาเราเยอะครับ .. มาต่อเรื่องคนมุยเน่กัน หลังจากที่นายทุนมาซื้อที่และให้ราคาดี คนส่วนมากก็ขายไปมีส่วนน้อยที่ยังไม่ขาย พวกที่ขายไปได้เงินมาก็เอาไปเที่ยว ซื้อรถมาขับ เกิดอุบัติเหตุสูญเสียทรัพย์สิน จนในที่สุดคนบางกลุ่มก็กลับมาจนเหมือนเดินแล้วมารับจ้างเจ้าของกิจการที่เขาขายที่ให้นั่นแหละ.

 

หอยสดๆจากทะเล
 
มุยเน่ปัจจุบันเราเห็นฝรั่งมากมาย โดยเฉพาะชาวรัสเซียซึ่งเขาถือว่ามาอาบแดดที่นี่ เพราะประเทศเขาหนาว ในร้านอาหาร ร้านค้า ที่เช่ารถ จึงเห็นมีภาษารัสเซียไปทั่ว จากมุยเน่ฝรั่งเขาก้ชอบเช่ามอไซด์ขับไปที่ดาลัต และบางกลุ่มเช่าทัวร์ไปกลับมุยเน่-ดาลัต*-มุยเน่ โดยใช้มุยเน่เป็นฐานครับ
 
 

หน้าอ่าวมุยเน่ กับเรือประมงมากมาย



เรือกระด้ง + เรือประมงขนาดกลางในอ่าว
 

เรือกระด้ง ... ความเป็นมาของเรือกระด้ง มีเรื่องเล่าว่า แต่เดิมชาวบ้านที่นี่ก็ใช้เรือรูปแบบปกติเหมือนเรือบ้านเรานี่แหละ แต่ยุคสงครามเวียดนาม ทำให้มีชาวเวียดนามอพยพหนีภัยสงครามออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก ทางที่สะดวกที่สุดก็คือนั่งเรือหนีออกไปทางทะเล แต่เพราะทะเลเวียดนามเป็นทะเลลึก อีกทั้งได้รับอิทธิพลจากพายุใหญ่ค่อนข้างบ่อย เรือปกติจึงมักจะอับปางจากคลื่นลมเพราะความยาวของเรือไปขวางคลื่นและลม คนเวียดนามจึงได้ทำเรือกระด้งกลมๆ เพื่อให้สามารถสู้คลื่นได้รอบทิศทาง ทำให้อัตราการล่มของเรือและสูญเสียชีวิตของผู้อพยพลดไปมาก ซึ่งจะจริงเท็จแค่ไหนก็เป็นเรื่องที่ชาวเวียดนามเล่ามาอีกทีนะครับ

 


เรือกระด้งสำหรับตกหมึกตามชายฝั่ง

...............
 
จากอ่าวมุยเน่ไปอีกประมาณ 3 กม. เราเข้าที่จอดรถเพื่อเข้าชม Fairly Stream หรือ ลำธารนางฟ้ากัน .... ลำธารนางฟ้าเป็นลำธารไม่กว้างนัก มีน้ำไหลเอื่อยๆบนทรายสีแดงละเอียด พอท่วมหลังเท้า ก่อนเข้าไปในลำธาร ถ้าเราไม่เตรียมรองเท้าแบบลุยน้ำไป แนะนำให้ถอดรองเท้าไว้ที่รถ แล้วเดินเข้าไปครับ ตามทางเดินในลำธารจะมีร้านขายของกิน เช่นขนม น้ำมะพร้าว น้ำเปล่า น้ำอัดลม และกระทิงแดง (ที่เวียตนามชอบกระทิงแดงเรามาก ที่นี่บรรจุเป็นกระป๋องขนาดกลางครับ) ... พอเข้าไปลึกหน่อยก็จะเป็นประตูเข้า จากตรงนั้นไปเขาไม่ให้ตั้งร้านขายของแล้วนะครับ เดินไปถ่ายภาพไปลูกเดียว

ลักษณะที่เข้าไปชมคือคล้ายๆแคนยอน (ถ้านึกไม่ออก ก็นี่เลย แพะเมืองผีที่แพร่  หรือ กองแลน ที่ปาย)  ... แคนยอนที่นี่ เกิดจากภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ ถูกกัดเซาะของน้ำมานานวัน จนเป็นร่องกว้างกว่า 20 เมตร มีชั้นหิน ชั้นทรายสีสันสวยงาม และมีลำธารเล็กๆระดับน้ำประมาณตาตุ่มซึ่งพัดพาตะกอนทรายสีแดงไหลออกไปสู่ทะเล
 
 













ของที่ระลึกที่ลำธารนางฟ้า
 
จากลำธารนางฟ้าเราไปทารมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารทะเลมุยเน่กัน ร้านนี้เหมือนร้านในเมืองไทยมาก มีใบประกาศมากมายติดโชว์ มีสถานที่จัดไว้สำหรับงานแต่งงานด้วย ร้านค่อนข้างใหญ่ติดชายทะเลเพียงรั้วกั้น ส่วนห้องน้ำสะอาดดี ... เรื่องห้องน้ำในเวียตนามที่ไปเห็นคราวนี้พัฒนาขึ้นไปเยอะ สะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวเช่นที่ดาลัต มุยเน่ โฮจิมินห์ หรือแม้แต่ที่พักรถระหว่างทาง และร้านอาหาร แต่ตามปั้มยังไม่เหมือนบ้านเรานะ เพราะปั๊มค่อนข้างเล็กพื้นที่น้อยเขาเลยไม่ทำแบบ ปตท. บ้านเรา แต่โดยรวมแล้วทางเวียตนามใต้นี้อยู่ในเกณฑ์ดีครับ
 
 
ทางเข้าร้านอาหาร

มีเรื่องเล่านิดหนึ่ง เมื่อเราถามไกด์ชาวเวียตนามว่า หลายๆร้านที่เราไปทานอาหารกัน ทำไมไม่มีแหนมเนืองในเมนูเลย ก็ได้คำตอบว่า แหนมเนืองนั้นเป็นอาหารประเภททานเล่นๆของชาวเวียตนาม ไม่ถือว่าเป็นเมนูหลักอะไร พวกเราเลยบอกว่าที่เมืองไทยแถบอีสานตอนบนนั้น แหนมเนืองนั้นเป็นอาหารเวียตนามยอดฮิตเลยล่ะ มีร้านที่ขายแหนมเนืองดังๆเกิดขึ้นด้วย ไกด์แกก็เหมือนว่าจะแปลกใจนิดๆครับ ... อาหารเที่ยงวันนี้ก็ค่อนข้างดี คน 10 คน จัดมา 2 โต๊ะจีน ปริมาณอาหารทานกันแทบไม่หมด มีบางอย่างเราขอห่อด้วย (เสียดายอ่ะครับ)



ชายทะเลหน้าร้าน



ติดอ่าวด้วย.
 
หลังมื้อเที่ยงที่มุยเน่ เราเดินทางยาวตามถนนหมายเลข QL1A สู่นครโฮจิมินห์ระยะทาง 219 กม. ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง โดยไปตามสาย QL1A ประมาณ 175 กม. แล้วแยกเข้าทางด่วน CT01 ตรงเข้านครโฮจิมินห์ โดยมีการแวะพักที่จุดพักรถที่ทำเป็นศูนย์อาหาร มีห้องน้ำมากมายเพียงพอต่อรถจำนวนมาก ซึ่งอยู่ประมาณกลางเส้นทาง .... บล๊อกหน้าเราจะไปเที่ยวไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ซิตี้กันครับ


102 ขอบคุณที่ติดตามอ่านและหวังว่าคงพอมีประโยชน์สำหรับนักเดินทางบ้างนะครับ 102
 



ลากันด้วยภาพนี้ครับ จาก White Sandunes, Mui Ne, Viet Nam.

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2563

พักผ่อน เล่นกอล์ฟ ...ที่ดาลัต (EP2)


อัพบล๊อกวันนีมาพาไปเที่ยวดาลัตต่อครับ วันนี้เรามีโปรแกรมไปเล่กอล์ฟที่สนาม Sam Tuyen Lam Golf Course ที่อยู่ห่างจากดาลัตไปประมาณ 15 นาที สนามกอล์ฟตั้งอยู่ในหุบเขามีรีสอร์ทสำหรับพักท่ามกลางธรรมชาติ ส่วนผู้ติดตามในช่วงเช้าจะไปชมสวนดอกไม้เทศกาลไม้ดอกเมืองดาลัตกัน ตอนเที่ยงเราจะไปเจอกันที่ร้านอาหาร แล้วไปเที่ยวเป็นกรุ๊ปเดียวกันที่เขาลางเบียง และจบทริปที่ตลาดกลางคืน หรือถนนคนเดิน (อยู่หน้าโรงแรมที่พัก) ... วันรุ่งขึ้นมีโปรแกรมไปเที่ยวน้ำตกดาทันลา วัดตั๊กลัม นั่งกระเช้า แล้วไปถ่ายภาพกับสถานีรถไฟเก่าดาลัต และรัประทานมื้อเที่ยง ก่อนเดินทางสู่มูยแน้ หรือ มุยเน่ที่คนไทยชอบเรียกกัน

บล๊อกนี้เลยถือโอกาสรวบวันที่ 13 กับเช้าวันที่ 14 กพ. 2020 เข้าด้วยกันเลย ภาพอาจจะเยอะหน่อย ค่อยๆชมไปเรื่อยๆครับ ให้ภาพช่วยบอกบรรยากาศตามสไตล์ของนายวิคเซอร์ละกัน .... ความเดิมวันที่ 12 กพ. 2020 เราเดินทางมาจากไยด้วยสายการบิน VietJet Air เที่ยวบินที่ VZ940 จากสุวรรณภูมิเวลา 11.10 มาถึงท่าอากาศยานนานาชติเลียเคือง 12.55 จากนั้นก็แยกกันเที่ยว นักกอล์ฟไปเล่นกอล์ฟที่สนาม Dalat Palace Golf Course ส่วนผู้ติดตามไปเที่ยววังเบ๋าได๋ เจดีลินซอน และสวนดอกไฮแดรนเยีย แล้วทั้งหมดมาเจอกันที่ร้านอาหาร เมื่อคืนเราพักกันที่ TCC Hotel Premium Ngoc Lan ริมทะเลสาบ Xuan Huong เป็นคืนที่ 2 .  (อ่านดาลัตบล๊อก 1)



แสงเช้าที่ Lake Xuan Huong, Dalat.
เช้าวันนี้ที่ดาลัตอุณหภูมิ 20 องศา อากาศสบายๆ ส่วนเมื่อคืนนี้ ก็นอนสบายๆแม้ไม่มีแอร์ (เมืองนี้เขาไม่ติดตั้งแอร์กันเพราะอากาศเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 16.5-26 องศาเท่านั้น) โรงแรม TCC Hotel Premium Ngoc Lan ที่เราพักตั้งอยู่บนเนิเขา ถนนที่หน้าโรงแรมจึงสูงกว่าถนนที่รอบๆทะเลสาบซวงฮวงเป็น 10 เมตร ทำให้เรามองเห็นทะเลสาบได้อย่างชัดเจน แถมยามเช้าพระอาทิตย์ขึ้นจากเขาส่องผ่านทะเลสาบ จึงทำให้ทะเลสาบสวยงามเป็นพิเศษ ... เช้าๆรอบทะเลสาบชาวเมืองหรือแม้แต่นักท่องเที่ยวเองก็ออกมาเดิน-วิ่งรอบๆทะเลสาบกัน สนามกอล์ฟ Dalat Palace Golf Course ก็อยู่ติดทะเลสาบนี้แค่ถนนเส้นเล็กๆกั้นไว้ พูดถึงเรื่องถนนแล้วในดาลัตมีถนนสี่เลนส์แค่ไม่กี่เส้นเนื่องจากภูมิประเทศอยู่ในเขาครับ


ยามเช้าริมทะเลสาบ Xuan Huong, Dalat.



กับต้นอาร์ติโชก (Artichoke) หรือ Atiso ในภาษาเวียตนาม ในห้องอาหาร



อาหารเช้าของที่นี่ดีครับเทียบเมืองไทยได้...ก๋วยเตี๋ยวหรือเฝอทำสดๆ





หน้าโรงแรม TCC Hotel กับป้ายินดีต้อนรับ
วันที่ 13 กพ. 2020 ช่วงเช้าเรามีโปรแกรมไปเล่นกอล์ฟกันที่สนาม Sam Tuyn Lam Golf Course เวลา 07.30 น. ต้องเดินทางออกจากเมืองไป 20 นาที ซึ่งที่นี่เขามีที่พักด้วยครับ ... ส่วนผู้ติดตามเช้านี้จะออกจากที่พัก 8.00 น. ไปชมสวนดอกไม้เมืองดาลัต แล้วมาพบกันที่ร้านอาหารประมาณ 13.00 น. แล้วยุบรถจาก 2 คันเหลือคันเดียวเป็นรถบัส 28 ที่นั่ง เพื่อไปที่หมู่บ้านชาวลัต (Lat) แล้วนั่งรถจี๊บขึ้นยอดเขาลางเยียงอีก 6 กม. เพื่อชมบรรยากาศของดาลัตในมุมสูงครับ



ทางเข้าสนามกอล์ฟและรีสอร์ท
SAM Tuyen Lam Golf Club อยู่ห่างจากเมือง Dalat เพียง 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีจากในตัวเมือง หรือ 20 นาทีจากสนามบินมาที่นี่ สนามกอล์ฟแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวแคนาดา ตั้งตระหง่านอยู่ในหุบเขาลึก และขนาบอยู่ทางฝั่งขวาของทะเลสาบ Tuyen Lam โดยโอบล้อมไปด้วยภูเขาและป่าสนสูงใหญ่รอบด้าน ช่วยสร้างภูมิทัศน์อันน่าประทับใจให้กับสนามแห่งนี้ อีกทั้งยังมีภูมิอากาศที่เย็นสบาย เหมาะแก่การเล่นกอล์ฟตลอดทั้งปี

ลงกระเป๋ากอล์ฟ แล้วให้เจ้าหน้าที่เช็คอุปกรณ์ของเราแล้วรับบัตร ตอนขากลับแค้ดดี้จะเช็คอุปกรณ์ให้ครบตามนั้น...อย่าทำบัตรหายนะเรื่องค่อนข้างยุ่งเลยล่ะ


สนามกอล์ฟแซมเตี่ยนลัม


วิวตอนรถเข้าไปเกือบถึงคลับเฮ้าส์



ทางลงและขึ้นสนามมีธงนานาชาติรวมทั้งไทยด้วย



ถ่าบภาพร่วมกันที่หลุม 10



โรงแรม & รีสอร์ท



ตีไปถ่ายภาพไป Locations ดีมากๆ


กรีนหลุม 9

โดยรวมแล้วเป็นสนามที่ดี แม้จะไม่ยาวนัก น่ามาเล่นครับ เป็นสนามภูเขาพัตต์ค่อนข้างยาก แฟร์เวย์บางหลุมแคบบต้องตีเลียบเขาและคลองไป มีบังเกอร์ค่อนข้างเยอะเอาไวักนักกอล์ฟตีไกล แม้จะเป็นสนามภูเขาแต่แฟร์เวย์นุ่มดีครับ แท่นทีแต่ละหลุมอยู่ห่างกัน เหมาะที่จะใช้รถครับ แต่ราคารถที่นี่ค่อนข้างแพง ... แค้ดดี้เก่ง พูดภาษาอังกฤษได้โดยเฉพาะภาษากอล์ฟ บอกระยะเป็นหลาแบบบ้านเรา บอกไลน์บนกรีนก็เก่ง ต้องเชื่อเลยล่ะ มีบางท่านถามว่าค่าทิปแพงไหม? อันนี้แล้วแต่ความพึงพอใจครับก็ประมาณ 400,000 VND หรือมากกว่าครับ ... รวมความแล้แค้ดดี้ที่นี่นิสัยน่ารักมาก  ส่วนนักกอล์ฟที่มาเล่นที่นี่ส่วนมากจะเป็นเกาหลีและเวียตนามประมาณครึ่งต่อครึ่ง ไทยมีมาบ้างแต่เขาบอกว่าไม่เยอะครับ



ดอกไฮแดรนเยียที่คลับเฮ้าใหญ่มากๆ



เช็คอุปกรณ์เสร็จเตรียมแพ๊คถุงเพื่อขึ้นเครื่อง เพราะอีก 3 วันที่เหลือไม่ได้เล่นกอล์ฟแล้ว เที่ยวอย่างเดีย




สำหรับนักกอล์ฟครับ



.................
ระหว่างที่พวกเรานักกอล์ฟออกไปเล่นกอล์ฟกัน ผู้ติดตามก็จะชมดอกไม้ที่สวน

สวนพฤษศาสตร์หรือสวนดอกไม้เมืองหนาว (Dalat Flower Garden)
สวนดอกไม้เมืองหนาว (Dalat Flower Gardens) ดาลัดได้รับการขนานนามให้เป็น เมืองดอกไม้ ที่นี่จึงมีดอกไม้บานสะพรั่งไปทั่วเมืองตลอดทั้งปี และหากต้องการที่จะจะเห็นพรรณไม้ของดาลัดก็ต้องไปสวนพฤกษศาสตร์ดาลัด ที่ได้ทำการรวบรวมไว้อย่างมากมายทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ต้น และกล้วยไม้ ที่มีมากทั้งกล้วยไม้ พันธ์แท้และกล้วยไม้ลูกผสมที่แสนจะตระการตา ซึ่งกล้วยไม้ตัดดอกที่มีอยู่ในเวียดนามเกือบทั้งหมดส่งออกไปจากดาลัด นอกจากนี้จำพวกผักเมืองหนาวก็ปลูกได้ผลดีในเมืองนี้ ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งผลิตพืชผักผลไม้ที่มั่งคั่งสุดของประเทศเวียดนาม สำหรับสวนดอกไม้แห่งนี้ได้รับการสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2409 เพือ่ให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรทางภาคใต้ และนั่นเองที่ทำให้ดาลัดกลายเป็นเมืองเกษตรอันดับหนึ่งของเวียดนาม สวนพฤษศาสตร์ดาลัด อยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาบซวนฮวาง บนถนนฟูดงเตียนหวุง











................


หลังมื้อเที่ยงเรารวมกลุ่มมาที่รถบัสขนาด 28 ที่นั่งเพื่อเดินทางไปขึ้นเขาลางเบียง (Lang Biang) ที่หมู่บ้านชาว Lat ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไป 12 กม. รถผ่านกรีนเฮ้าส์ที่ใช้ปลูกพืชเมืองหนาวตลอดทาง จนเข้าสู่ลานจอดรถขนาดใหญ่ เห็นรถจี๊บสีเขียวจอดกันเต็ม ด้านหลังลานจอดเป็นป้ายเขียนว่า "LANGBIANG" อยู่บนเนิน



รถจี๊บที่จะพาขึ้นสู่ยอดเขานั่งคนละ 5-6 คน (ไป-กลับ คันเดิม .. ต้องจำหมายเลขรถด้วย)
ถ้าอยากเห็นวิว เมือดาลัตทั้งเมือง ก็ต้องนี่เลยครับ ยอดเขาลางเบียง Lang Biang (ชาวเวียตนามจะออกเสียงว่า ลาง-บี-ยัง) ซึ่งบนนี้จะเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองดาลัต... มีกล้องให้ส่องดูด้วย บนนั้นจะมีร้านอาหาร ห้องน้ำ ถ่ายภาพกับชนเผ่า มีรถจี๊บทหารอเมริกันยุคสงครามให้เราขึ้นไปแอคชั่นถ่ายภาพด้วย ... เข้าสู่ลานจอดรถจะต้องซื้อบัตรเข้าสถานที่ 20,000 VND

🚙และการขึ้นสู่ยอดเขาจะต้องเช่ารถจี๊บขึ้นไปอีกคนละ 100,000 VND (เวียตนามด่อง) ซึ่งรถหนึ่งคันก็นั่งได้ 5-6 คนครับ ระยะทาง 6 กม. ผ่านป่าสนสวยงาม ส่วนทางก็มีชันบ้างเป็นบางช่วง


ทางขึ้น-ลงเขาลางเบียง
ภูเขาลางเบียง (Lang Biang) เป็นหนึ่งในเทือกเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดเลิมด่ง Lam Dong Province ยอดเข้าที่สูงที่สุดคือ ยอดเขาจือยังซิน(Chugianxin) สูง 2.600 เมตร, ยอดบีดู๊ป(Bidup) สูง 2.164 เมตร และยอดลางเบียง(LangBiang)สูง 2.167 เมตร. ข้างล่างของภูเข้านี้เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่า Lat Chill ซึ่งชนเผ่าต่างๆแถบนี้ยังคงรักษาความเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของเอาไว้อยู่.

ถ่ายภาพกับรถจี๊บ





วิวเมืองดาลัต

ชื่อของภูลางเบียงนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวความรักอันสวยงามของหนุ่มลาง (Lang) ของเผ่า Lat และเจ้าสาวชื่อเบียง (Biang) เป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่า Chill. ตำนานเล่าว่า ทั้งสองคนนี้บังเอิญได้เจอกันตอนที่ไปเก็บผลไม้ในป่า ขณะที่เจ้าสาวเบียงเจอพวกหมาป่าดุร้ายเข้ามาทำลาย เจ้าชายลางก็ได้เข้าไปช่วยเหลือเบียงได้ทันที่ หลังจากนั้นเข้าก็ได้รักกัน แต่เพราะความผิดกันหลายอย่างรวมไปถึงขนบทำเนียบที่แตกต่างกันของทั้งสองชนเผ่านี้ทำให้สองคนนี้แต่งงานกันไม่ได้ และทั้งสองคนนี้เข้าก็ได้ฆ่าตัวตายเพื่อแสดงถึงความรักอันซื่อสัตย์ของตน และต่อต้านกฎเกณฑ์ที่ไม่ถูกต้องของทั้งสองชนเผ่านี้ หลังจากนั้นชาวบ้านแถบนี้ก็ได้เอาชื่อของหนุ่มสาวคู่นี้มาตั้งชื่อให้ภูเขานี้



จุดชมวิว Lang biang



ร้านอาหารบนจุดชมวิว
รถขึ้นสู่ยอดเขาตามทางที่ไม่ชันมากนัก เมื่อเทียบกับแถวๆแม่ฮ่อสอนบ้านเรา เมื่อถึงลานจอดเขาจะจอดรอเราเพื่อกลับลงเขาไปคันเดิมควรจำหมายเลขทะเบียน หรือ หมายเลขรถที่กระจกหน้าด้านคนขับ (ทางซ้าย) ไว้ให้ดีนะครับ เพราะมีรถขึ้นมาส่งนักท่องเที่ยวเยอะมาก ... ด้านบนนั้นมีรถจี๊บสมัยสงครามไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพอยู่ 2 คน คันหนึ่งใกล้ๆที่จอดรถ อีกคันอยู่ติดกับกล้องส่องดูเมือง ... ถ้านักท่องเที่ยวอยากถ่ายภาพก็เสียค่าเช่าถ่ายครั้งละ 10,000 VND หรือจะเหมาก็ตกลงราคากันเองครับ ... เมื่อเดินวนไปทางซ้ายจากลานจอด เราก็จะเห็นกล้องตั้งเรียงกันอยู่ ให้เราไปเช่าส่องดูเหมือง ถัดไปเป็นรถจี๊บอีคันสำหรับถ่ายภาพ และเราสามารถชมเมืองดาลัตได้ชัดเจนจากจุดนี้ .. เดินลงไปพักล่างของยอดเขา เป็นวิวเมืองดาลัตพร้องป้าย LANGBIANG ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพ ... วนกลับมาทางขวา ก็จะเห็นวิวแม่น้ำ (จำชื่อไม่ได้แล้ว) ที่ไกด์บอกว่าไหลยาว 400 กม. ไปบรรจบกับแม่น้ำไซ่ง่อนก่อนออกสู่ทะเล และมีร้านขายของที่ระลึกใกล้ๆจุดชมวิวนี้ ซึ่งที่ร้านนี้เราสามารถติดต่อถ่ายภาพกับชนพื้นเมืองลัตที่แต่งกายสวยงามแบบชาวเขา และวนกลับไปทางจอดรถก็จะมีจุดชมวิวหลายที่

บนสุดของยอดเขาคือร้านอาหาร Langbiang ขึ้นไปถ่ายภาพได้ครับ ด้านล่างร้านอาหารนี้ก็เป็นร้านอาหารเช่นกัน ด้านหลังร้านเป็นห้องน้ำสะอาดฟรีครับ





ชาวลัต (ชาวพื้นเมืองของดาลัต) ที่มาขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว
ผู้เขียนเห็นป้าชาวลัตคนนี้มาขายของที่ระลึกข้างๆรถเรา และไม่ยอมไปไหนเลย เลยเอาตังค์ให้แก 20,000 VND เพื่อขอถ่ายภาพ ซึ่งแกก็งงว่าทำไมเราไม่ยอมรับของ ... พูดถึงเรื่องชาวลัต (LAT) นี้ก็น่าเห็นใจเหมือนกันนะครับ คือเมื่อสมัยฝรั่งเศสล่าอณานิคมแล้วปกครองเวียตนาม ก็มีนักสำรวจเดินทางมาถึงเมืองดาลัตปัจจุบันและชอบอากาศของที่นี่มากจนอยากตั้งเป็นศูนย์กลางการปกครองของอินโดจีน (อันมี เวียตนาม เขมร และลาว)  แล้วพยามจะให้ชาวพื้นเมืองย้ายออกจากพื้นที่ พวกเขาที่เคยอยู่มานานนมก็ไม่ยอมครับ จะฆ่าจะแกงยังไงก้ไม่ยอมออกจากพื้นที่ เมื่อหาทางยังไงชาวลัตก็ไม่ยอม ท้ายที่สุดก็ใช้วิธีแบบสุดโหด โดยฝรั่งเศสได้ทำเขื่อนเบี่ยงเบนแม่น้ำให้มาท่วมเมืองดาลัตที่เป็นที่อยู่ของชาวลัตในสมัยนั้น จนในที่สุดฝรั่งเศษก็ได้เมืองนั้นมา และสร้างเมืองและตั้งชื่อใหม่ว่า "ดาลัต" จนถึงปัจจุบัน แต่ท้ายสุดเมืองนี้ก็ไม่ได้เป็นศูนย์อำนาจของอินโดจีน เป็นเพียงเมืองวิจัยด้านการเกษตรของเวียตนามและเมืองพักผ่อนของชาวฝรั่งเศส ตึกรามบ้านช่องที่เห็นจึงออกสไตล์โคโลเนี่ยล ... ต่อมาเมื่ออเมริกามารบในเวียตนามก็ต่อเติมเมืองนี้ตามแบบฉบับของตน ปัจจุบันคนเวียตนามก็สร้างอาคารบ้านเรือตามแบบของตะวันตกกัน...เมืองดาลัตจึงเป็นเมืองสวยงามแบบตะวันตกที่บางคนเรียกว่า "ปารีสแห่งตะวันออก".
...................

ลงจากเขาลางเบียง เราไปทานมื้อเย็นก่อนที่จะเข้าโรงแรม ผู้เขียนถือโอกาสกลับลงมาเดินเที่ยวที่ถนนคนเดินที่อยู่หน้าโรงแรมที่พัก ... บรรยากาศเหมือนบ้านเราเปรี๊ยบครับ มีขายพวกเสื้อผ้า อาหาร ของใช้ ของกิน ดอกไม้ และอื่นๆเหมือนถนนคนเดินบ้านเรา แถมมีดนตรีเปิดหมวกที่เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาแสดงด้วย.


ภาพนี้ถ่ายลงไปทางวงเวียนแถวทะเสาบ


สตอร์เบอรี่ที่ดลัตมีเยอะมาก



ดอกอาร์ติโชก

คัดลอกมาให้อ่านครับ

ดอกอาร์ติโชก
ชื่อทางวิทยาศาสตร์    Cymara seolymus, ชื่อสามัญ globe artichoke,  ชื่อวงศ์   Asteraceae

ลักษณะทางพฤษศาสตร์ :
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ประเภทล้มลุก วงศ์เดียวกันกับดอกทานตะวัน มีสองสายพันธุ์คือ พันธุ์ใบเขียวและพันธุ์ใบม่วง ดอกออกหน้าตาเหมือนกัน รสชาติเดียวกัน ลำต้นโปร่งไม่สูงนัก ขนาด 50 ซม. ถึง 100 ซม. รอบต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 120 ซม. อายุต้นสามารถเก็บเกี่ยวได้ยาวนาน 5 - 10 ปี การเก็บเกี่ยวต้องเก็บเกี่ยวด้วยแรงคน ต้องเลือกคัดดอกตามอายุที่ต้องการ เมื่อเก็บเกี่ยวจนหมดต้นแล้ว จะตัดต้นช่วงบนทั้งหมดทิ้ง คงเหลือเป็นตอต้นสูงจากพื้นดินสัก 8 - 10 นิ้วเท่านั้น เพื่อให้ตาใหม่แตกยอดเป็นต้นใหม่ต่อไป อาร์ติโชกเป็นพืชถิ่นดั้งเดิมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน ที่ปลูกกินกัน ในปัจจุบันเป็นพันธุ์ที่เริ่มเพาะปลูกในซิซีลี ประเทศอิตาลี สมัยศตวรรษที่ 15 แต่บางกระแสก็บอกว่าเริ่มในแอฟริกาเหนือก่อน นี่เป็นเงื่อนไขข้อหนึ่งที่ครัวอิตาเลียนนิยมกินอาร์ติโชกกัน โดยเฉพาะหมู่ขุนน้ำขุนนาง ต่อมาอาร์ติโชกแพร่หลายพร้อมนางแคเทอรีน เมดิชี แห่งกรุงฟลอเรนซ์ สู่ราชสำนักฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 16 ทำให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายของครอบครัวราชสำนักของฝรั่งเศสมาอย่างต่อเนื่อง มีการเพาะปลูกมากในฝรั่งเศส

การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร เป็นผักที่ชาวอิตาเลียนชอบรับประทานกันมาก มีไขมันต่ำ นิยมนำดอกมาประกอบอาหารโดยตัดเอากลีบเลี้ยงดอกด้านนอกออก ส่วนกลีบดอกและเกสรด้านในใช้มีดคว้านออกให้หมด จะเหลือเพียงฐานรองดอกนำมาสอดไส้สมุนไพรทอดด้วยน้ำมันมะกอก นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นึ่ง ลวก ชุบแป้งทอด หรือรับประทานสดโดยใส่ในสลัด การกินอาร์ติโชกก็คือการกินดอกที่ยังตูม ตั้งแต่ดอกอ่อน ดอกขนาดกลางไปจนถึงดอกขนาดใหญ่ ซึ่งยังอยู่ในภาวะดอกตูมอยู่ ดอกอาร์ติโชกที่บานนั้นสวยงามเป็นกลีบสีม่วงอมขาว ซึ่งเขาจะปล่อยให้บาน เมื่อต้องการเมล็ดมาขยายพันธุ์

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม :  
อาร์ติโชกชอบอากาศไม่ร้อนจัด ไม่หนาวจัด เย็นกำลังดี ความชื้นพอเหมาะ ดังนั้นที่ราบสูงตามภูเขาจึงเหมาะสำหรับการปลูกอาร์ติโชก เสน่ห์ของผักชนิดนี้อยู่ที่ฐานดอก ซึ่งถูกเรียกว่า “ใจอาร์ติโชก” (artichoke heart) ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผักดอกชนิดนี้ ที่ไม่ใช่ของบ้านเมืองเอเชียหากแต่เป็นที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ในเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม และมีตลอดทั้งปี เพียงแต่ไม่มากเท่าเดือนดังกล่าว ดอกอาร์ติโชกขนาดเล็กขายแบบเป็นผักดอกสด ขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งในสี่ นำมาทำใจอาร์ติโชกกระป๋อง มงกุฎอาร์ติโชกแช่แข็ง (artichoke crown)

ที่มา : https://hkm.hrdi.or.th/knowledge/detail/152  
ดอกอาร์ติโชกถูกนำมาปลูกที่ดาลัต และปลูกได้ดีเสียด้วย ชาวดาลัตจึงถือเอาดอกอาร์ติโชกเป็นดอกไม้ประจำเมือง อาหาเที่ยงวันนี้ก็ทานแกงดอกอาร์ติโชกกันด้วย ผลิตภัณฑ์อื่นอย่างเช่นชาอาร์ติโชกก็อร่อยครับ

ถนนคนเดินจากวงเวียนริมทะเลสาบ มาสิ้นสุดเอาตรงวงเวียนรูปปั้นนี้


ดนตรีพื้นเมืองเปิดหมวก



พรุ่งนี้ 14 กพ. 2020 คือวันวาเลนไทน์ ดอกกุหลหาบช่อสวยๆมาก่อนเลย


.................

เช้าวันที่ 14 กพ. 2020 วันนี้เรายังมีโปรแกรมเที่ยวดาลัตอีกครึ่งวันก่อนเดินทางไปมุยเน่ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 4 ชั่วโมง เช้านี้เรามีโปรแกรมไปน้ำตกดาทันลา ไหว้พระที่วัดตั๊กลัม นั่งกระเช้ากลับไปที่ดาลัต ชมบ้านเพี้ยน และจบด้วยมื้อเที่ยงที่ร้านใกล้ๆทะเลสาบ ก่อนเดินทางลงเขาไปมุยเน่


รถนักท่องเที่ยวจอดที่ทางลงน้ำตกดาทันลา


น้ำตกดาทันลา (Datanla Waterfall)

น้ำตกดาทันลาเป็นสถานที่เที่ยวยอดนิยมอีกที่หนึ่งของดาลัต ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากดาลัตประมาณ 6 กม. ... การลงไปชมน้ำตกซึ่งอยู่ลึกลงไปในหุบเขา ซึ่งที่นี่ใช้วิธีนั่งรถราง (Rolling coaster) ลงไป-และกลับขึ้นมา ทำให้เพิ่มความสนุกมากขึ้น ราคาคนละ 170,000 VND  เมื่อก่อนสถานีจะอยู่ใกล้ๆทางแยกจากถนนใหญ่ ใช้เวลานั่งลงไปชมน้ำตกประมาณ 5 นาที ซึ่งต่อมาเขาทำให้ระยะทางนั่งรถรางนานาขึ้น มีโค้งวนให้สนุกมากขึ้นโดยต่อทางเลื่อนขึ้นไปบนเขเาอีกเป็นกิโลเมตร (จากคำบอกเล่าของไกด์) ..... เมื่อจัดการซื้อตั๋วเสร็จก็ไปนั่งรถ Roller Coaster ที่นั่งได้ 2 ที่นั่ง โดยคนขับจะนั่งด้านหลังพร้อมกับมือจับที่คันเบรกทั้ง 2ด้าน วิธีการก็คือดึงคันเบรกกลับรถจะเบรก เมื่อปล่อยันเบรกรถจะแล่นไปด้านหน้าโดยใช้แรงโน้มถ่วงดึงรถลงสู่ที่ต่ำ โดยรถแล่นบนรางกลมและมีรางเบรกไว้ข้างล่างรางทั้ง 2 ข้างครับ ในกรณีรถวิ่งไปโดยเบรกไม่ทัน ที่รถก็จะมีบั้มเปอร์ทั้งด้านท้ายและด้านหัวรถ ไม่อันตรายครับ และ Technology ที่ใช้เป็นของเยอรมัน (เยอรมันสร้างให้ด้วย) .... ตามทางที่ผ่านจะมีกล้องจับภาพเราอัตโนมัติ แลตามทางที่จะมีโค้งเกลียวหมุนให้หวาดเสียวเหมือนกัน (แต่เข้าใจว่าเขาควบคุมอัตราการแล่นไว้โดยเบรกอัตโนมัติด้วย).






นั่งรถราง Roller Coaster ลงไปชมน้ำตกจากสถานีใหม่


ที่น้ำตกดาทันลา ซึ่งเป็นน้ำตกไม่ใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับน้ำตกแถวบ้านเรา... เมื่อถึงบริเวณชมน้ำตกเราจะลงจากรถไปถ่ายภาพกับน้ำตก ที่ซุ้มบริเวณน้ำตกเขาปริ้นภาพที่กล้ออัตโนมัติตามทางที่เราผ่านมาขายให้เราด้วย ถ้าชอบก็ซื้อถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร .... หลังจากชมและถ่ายภาพกับน้ำตกแล้วเวลาขึ้นเขาจะใช้สลิงดึงรถรางขึ้นจนถึงเนินสูงสุด แล้วปล่อยลงเป็นช่วงๆ ดูเหมือนจะ 2 ช่วงครับ



...................

ไหว้พระวัดพุทธตั๊กลัง  (Thien Vien Truc Lam)
จากน้ำตกรถไปส่งเราที่ทางขึ้นวัดตั๊กลัม ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เมื่อลงจากรถที่ลานจอดแล้วเราต้องเดินขึ้นบันไดขึ้นไปแต่ไม่สูงมากนัก ค่อยๆเดินขึ้นไปเดี๋ยวเดียวก็ถึงครับ วันนี้ผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวและคนเวียตนามมาไหว้พระที่วัดนี้มากเหมือนกันครับ เมื่อขึ้นไปจนสุดบันไดก็จะเจอศาลาใหญ่ มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีทองอร่ามเป็นพระประธาน หน้าพระเป็นที่ให้นั่งไหล้พระ และด้านขวามีบาตรใบใหญ่ให้เราไปทำบุญโดยใส่เงินเข้าไปในบาตรนั้น พระที่ประจำอยู่จะเคาะที่บาตรมีเสียงดังคล้ายๆระฆัง เราก็ถือโอกาสไปบริจาคด้วย 50,000 VND ด้านระเบียงศาลามีดอกไม้สวยงาม และที่ลานหน้าศาลามีกระถางธูปใบใหญ่ตั้งอยู่ให้เราจุดธูปที่นั่นครับ เลยลานกระถางธุปจะเป็นสวนดอกไม้เมืองหนาวกำลีังออกดอกสวยงามมาก.


ภายในศาลา


ที่ทางเข้าศาลาวัด


ทางขึ้นวัด


ศาลาวัดตั๊กลัม  (Thien Vien Truc Lam)


วัดตั๊กลัม (Thien Vien Truc Lam)
วัดตั๊กลัม (Thien Vien Truc Lam) ที่นี่คือวัดพุทธในนิกายเซน (ZEN) แบบญี่ปุ่น มหายาน ซึ่งแม้จะเป็นพุทธเช่นนิกายเถรวาทแบบบ้านเรา แต่ธรรมเนียมปฏิบัติหลายๆ ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง.

นิกายเซ็น (Zen) เป็นนิกายหนึ่งในพระพุทธศาสนา อยู่ในฝ่ายมหายาน แต่มีความคล้ายคลึงกับเถรวาทในสายพระป่า เซ็นไม่นิยมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ เซ็นจะเน้นการฝึกปฏิบัติ ฝึกการใช้ปัญญา และสมาธิ เพื่อให้ เกิดพุทธิปัญญาจนเข้าใจหลักธรรมด้วยตนเอง นับถือกันในแถบเอเชียตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี)

เซน มีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดีย จากนั้นถูกเผยแพร่มาสู่จีน เกาหลีและญี่ปุ่น โดยได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า ในช่วงระหว่างที่เผยแผ่มาสู่ญี่ปุ่น การฝึกตนของนิกายเซน เน้นที่การนั่งสมาธิเพื่อการรู้แจ้ง ... เซน ยึดถือหลักปฏิบัติธรรมตามหลักของพระพุทธเจ้า ตามหลักของการฝึกสติ อริยสัจ 4 และมรรค 8 เซน ได้รับการยอมรับจากบุคคลที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลนอกทวีปเอเชีย ที่สนใจในเซนสามารถศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ และได้เกิดนิกายสายย่อยออกมาที่เรียกว่าคริสเตียนเซน








ที่สวนดอกไม้ของวัด


เหนื่อยก็นั่งพัก



สวนดอกไม้วัด


............


ออกจากวัดตั๊กลัม เราเดินลงบันไดไปที่ลานจอดรถ ในบริเวณนั้นมีร้านขายของที่ระลึกหลายร้านเหมือนกัน เดินผ่านถนนไปที่สถานีกระเช้า เพื่อนั่งกระเช้าข้ามเขาจากวัดไปที่สถานีที่เขาอีกลูกหนึ่ง โดยนั่งผ่านป่าสน เห็นแปลงอาร์ติโชกอยู่ด้านล่างหลายแปลง ระยะทางก็ประมาณ 2 กม. กระเช้าผ่านหุบเขามองเห็นเมืองดาลัตชัดเจนครับ


สถานีกระเช้าวัดตั๊กลัม


ผ่านป่าสน...กระเช้าจริงๆแล้ไม่ได้ทำลายธรรมชาติอะไรเลย จะมีนิดหน่อยตอนสร้าง หลังจากนั้นก็จะเป็นแบบในภาพ



เห็นเมืองดาลัตแบบมุมสูง






ที่สถานีกระเช้าดาลัต

.................


บ้านเพี้ยน (Crazy House)
จากวัด Truc Lam และนั่งกระเช้า เราไปต่อที่ บ้านเพี้ยน หรือ Crazy  House ซึ่งเป็นที่พักและออกแบบให้แปลกตาให้คนเข้าไปชม ซึ่งเป็นอาคารสามหลังต่อเนื่องกัน มีทางเดิน สะพานและอุโมงค์ มีจุดให้ถ่ายภาพอยู่มากมาย รวมทั้งร้านกาแฟด้วย ... เห็นนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียเข้ามาชมที่นี่เยอะพอสมควร

Crazy House นี้ออกแบบโดยหญิงชาวเวียตนามชื่อ ฮังหงา (Hang Nga) ซึ่งเป็นลูกสาวผู้มีบารมีในเวียตนามในยุคหนึ่ง (เขาว่าเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของเวียตนาม) เธอไปจบสถาปัตยกรรมมาจากรัสเซีย ซึ่งก็อยากออกแบบบ้านแบบนี้ขึ้นมา เธอได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานเรื่อง อลิซ อิน วันเดอร์แลนด์ (Alice in Wonderland) ... โดยออกแบบบ้านรูปทรงพิศดารนี้ ให้มีลักษณะเป็นโพรงต้นไม้ ส่วนมากสร้างจากปูนเป็นหลัก เอามาตบแต่งให้เหมือนต้นไม้ในป่า แต่ละส่วนทะลุถึงกันได้ ถ้าจำทางไม่ดีอาจจะหลงได้.












....................


สถานีรถไฟดาลัต (Dalat Train Station)
ก่อนจากดาลัตในวันที่ 14 กพ. 2020 เราแวะไปถ่ายภาพกับสถานีรถไฟเก่าดาลัตกัน ... ทริปนี้เราจัดทัวร์กันเอง การตกลงว่าจะไปต่อหรือเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับมติ ซึ่งหลายรายการในนี้ก็ไม่มีอยู่ในทัวร์ เราโวตเปลี่ยนจากโปรแกรมที่มีอยู่เดิม เพื่อให้เหมาะสมกับความชอบและวัยเที่ยว อย่างเช่นคราวนี้สถานีรถไฟก็ไม่มี แต่เราอยากไปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก ก็เลยได้ภาพพวกนี้มาครับ.


116 สถานีรถไฟแห่งนี้เริ่มวางแผนและก่อนสร้างเมื่อปี 1932 โดย 2 สถาปนิกชาวฝรั่งเศษชื่อ Moncet และ Reveron เป็นผู้ออกแบบ และก่อสร้างแล้วเสร็จหลังจากนั้นอีก 6 ปีต่อมา ... ซึ่งก็ใช้เดินทางระหว่าง Dalat - Nha Trang และ Dalat - Saigon (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) ... จนกระทั่งยุคสงครามสถานีแห่งนี้เป็นจุดที่ถูกโจมตีจนเกิดความเสียหาย จนกระทั่งปี 1975 หลังไซ่ง่อนแตกจึงได้รับการซ่อมแซมและนำกลับมาใช้อีก

ตั้งแต่ปี 1991 สถานีรถไฟดาลัตได้เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวเป็นระยะสั้นๆ 7 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที จาก Dalat - Trai Mat. ราคาค่าโดยสารสำหรับชาวต่างชาติ 106,000 VND (72,000 VND สำหรับชาวเวียตนาม) ... สถานีรถไฟดาลัตเป็นสถานีรถไฟเก่าแก่ที่สุดของเวียตนามและอินโดจีน สถานีมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ไม่ซ้ำกัน มีสามหลังคามุก และได้รับการยอมรับว่าเป็นวัฒนธรรมประจำชาติอันเก่าแก่ของเวียตนาม.





















จบจากดาลัต บ่ายนี้เรามีโปรแกรมเดินทางสู่มุยเน่ หรือมุยแน้เพื่อชมทะเลทรายขาว และทะเลทรายแดง (White & Red Sand Dunes) และพักที่ชายทะเลมุยเน่หนึ่งคืน ระยะทางจากดาลัตไปมุยเน่ก็ประมาณ 154 กม. ลงเขาไปตลอดจนถึงฝั่งทะเลจีนทางตะวันออก ระยะทางแค่นั้นรถเราต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงเลยนะครับ ... บล๊อกหน้าจะพาไปชมภาพกัน

ปล. ท่านผู้อ่านบางท่านคงสงสัยนะครับว่า จขบ.ไม่เห็นเล่าเรื่องอาหารในทริปให้อ่านบ้างเลย ... บอกเลยว่า อยากเล่าให้ครบกระบวนความเช่นกัน แต่ข้องจำกัดในพื้นที่คือไม่อยากให้บล๊อกยาวจัดจนเบื่ออ่านน่ะครับ สรุปให้ฟังง่ายๆอย่างนี้ครับทริปนี้กินดีพักดี อาหารที่เสริฟแต่ละมื้อเหลือเฟือครับ คุณภาพร้านอาหารที่ดาลัตและทางเวียตนามใต้ใกล้ๆหรือเท่ากับบ้านเราบริการก็ดี คือปรับปรุงขึ้นเยอะมากเมื่อเทียบกับ 4-5 ปีก่อนนี้คับ


เส้นทางจากดาลัต-มุยเน่
สำหรับการเยี่ยมชมดาลัตเราทั้ง 2 บล๊อกก็ผ่านไป ขอบคุณที่ตามอ่านนะครับ มีเรื่องราวดีๆ นายวิคเซอร์จะเอามาเขียน มาเล่าให้ฟังเผื่อมีประโยขน์กับท่านผู้อ่าน สำหรับบล๊อกนี้ขอบคุณครับ


ลาด้วยภาพสถานีรถไฟดาลัต