วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

+ เที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 10 ... ปราสาทโอซาก้า +







อัพบล๊อกวันนี้ก็มาถึงช่วงสุดท้ายที่เราพาเที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ในเดือนพฤศจิกายน 2018 แล้วนะครับ ... จากบล๊อกที่แล้วเราพาคุณๆไปเที่ยวชมใบไม้แดงและไหว้พระใญ่ที่วัดโทไดจิ เมืองนาระ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโอซาก้ามากนักครับ โดยการใช้ทางด่วน เราจะใช้เวลาเพียง 20 กว่าๆนาทีเท่านั้นเองก็ถึงเมืองโอซาก้าแล้วครับ 

สำหรับวันนี้เป้าหมายเราอยู่ที่ปราสาทโอซาก้า และช้อปปิ้งที่เอาท์เลท.... ก่อนออกเดินทางกลับเมืองไทยโดยสายการบินคาร์เธ่แปซิฟิค ซึ่งจะแวะพักที่ฮ่องกงก่อนกลับกรุงเทพฯ




เนื่องจากเราใช้เวลาในช่วงเช้าที่วัดโทไดจิไปเกือบครึ่งวัน โปรแกรมต่อไปคือหาอะไรทานเป็นมื้อเที่ยงก่อน รถตู้พาเราเข้าไปแถวๆกลางเมืองโอซาก้าและแวะร้าน Pronto เพื่อเลือกสั่งเป็นอาหารแบบจานเดียวเพื่อให้รวดเร็ว ... จะสังเกตุเห็นใบไม้ในเมืองโอซาก้านั้นร่วงเกือบหมดแล้ว เพื่อรอรับอากาศหนาวเย็นในช่วงเดือนต่อไป ฉะนั้นใบไม้แดงในเมืองนี้จึงไม่โดดเด่นนัก เมื่อนั่งรถผ่านเมืองก็จะเห็นแต่ใบแปะก๊วยที่เหลืองอร่ามในบางถนนเท่านนั้น สีแดงๆแบบในเกียวโตไม่ค่อยมี





ทานมื้อเที่ยงกันแถวๆนี้


หลังมื้อเที่ยงเรามาที่ปราสาทโอซาก้า เพื่อชมรอบๆปราสาทเท่านนั้น เลยมีภาพเฉพาะรอบปราสาทมาฝากกันครับ ... รถตู้มาส่งเราใกล้ๆที่จอดแท๊กซี่เพื่อให้เราเดินเข้าสู่ปราสาทแบบไม่ไกลนัก คือถ้าวัดระยะทางกันจริงๆ จากตรงนี้เข้าไปถึงตัวปราสาทก็เกือบกิโลเมตรเลยทีเดียว แต่เขามีรถกอล์ฟ (หรือรถราง) รับส่งเข้าไปครับ โดยมีค่าโดยสาร 100 เยนจากป้ายรถแท๊กซี่ ส่วนรถจะรับส่งปลายทางที่สถานีรถไฟใต้ดิน แต่คนละราคากับตรงนี้นะครับ ... ขาเข้าปราสาทเราเลือกเดินก่อน เพื่อจะได้ถ่ายภาพไปด้วย.


อนุสาวรีย์หน้าทางเข้า






วิธีเดินทาง :

1. JR West : นั่งรถไฟสาย JR Osaka Loop Line ลงสถานี Morinomiya หรือ Osakajokoen

2. Osaka Subway : นั่งรถไฟใต้ดินสาย C–Chuo Line (สีเขียวเข้ม) หรือ สาย N–Nagahori Tsurumi-ryokuchi Line (สีเขียวอ่อน) ลงสถานี C19,N20–Morinomiya



ค่าผ่านประตู :  สวนสาธารณะและบริเวณด้านนอกปราสาท ฟรี / ส่วนภายในปราสาทและพิพิธภัณฑ์ ผู้ใหญ่ ¥600, เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าชมฟรี
เวลาให้บริการ : ทุกวัน  09.00-17.00 น.ติดต่อ : 06-6941-3044 / เว็บไซต์ : https://www.osakacastle.net/english/


ทางเข้าสู่ปราสาทด้านนอกกำแพง




ด้านนอกกำแพงจะมีคูน้ำล้อมรอบ








ประตูโอเตมง


เสาโทริอิที่หน้าศาลเจ้า Hokoku-Jija


Sakuramon Gate



ปราสาทโอซาก้า

ท่ามกลางมหานครที่ใหญ่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่น ปราสาทอันทรงพลังกำลังแทรกตัวอยู่ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องอันทันสมัย

ปราสาทอันยิ่งใหญ่อลังการที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมืองบนสวนสาธารณะพื้นที่กว่า 2 ตร.กม. นี้เป็นสัญลักษณ์และสถานที่ทางประวัติศาสตร์อันสำคัญของโอซาก้า มันถูกสร้างขึ้นในบริเวณวัดโอซาก้าฮอนกาจิเดิม แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าตัวปราสาทปัจจุบันนั้นไม่ใช่อาคารเก่าแก่ดั้งเดิมที่สร้างขึ้นโดยโทโยโทมิ ฮิเดะโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ในปี ค.ศ.1583 เพราะตัวปราสาทหลังเดิมนั้นถูกทำลายลงอันเนื่องมาจากสงครามและภัยธรรมชาติรวมถึงทรุดโทรมตามกาลเวลามาหลายครั้ง

สำหรับปราสาทหลังปัจจุบันนั้นถูกบูรณะสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1931 ซึ่งถือเป็นการสร้างปราสาทโอซาก้าขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ 3 ในพื้นที่ดั้งเดิม และการสร้างครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นได้ก็ด้วยการระดมทุนบริจาคจากชาวเมืองโอซาก้าที่ร่วมด้วยช่วยกันจนสามารถฟื้นฟูความงดงามในอดีตให้กลับมาตระหง่านดังเดิมได้อีกครั้ง แล้วปราสาทนี้ก็ยังสร้างความอัศจรรย์ด้วยการรอดพ้นจากสงครามโลกมาได้อย่างปาฏิหาริย์โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ อีกด้วย

ตัวปราสาทนั้นอาจแลเห็นภายนอก 5 ชั้น แต่ความจริงแล้วมีทั้งหมด 8 ชั้นด้วยกัน ภายในนั้นคือส่วนของ Osaka Castel Museum ที่จัดแสดงนิทรรศการเชิงประวัติศาสตร์เล่าเรื่องราวของปราสาทได้อย่างน่าสนใจ รวมไปถึงจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ในอดีตไปจนกระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยโบราณ และชั้นบนสุดนั้นก็คือหอคอยที่ใช้สังเกตการณ์สงครามอันเป็นเอกลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของปราสาทญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันเราสามารถขึ้นไปชมวิวอันสวยงามของเมืองโอซ้าก้าในมุมสูงได้รอบทิศอีกด้วย






หอคอยกลาง




Osaka Castel Timeline

• ค.ศ.1496 >>> วัดโอซาก้าฮอนกันจิถูกสร้างขึ้นและมีอิทธิพลต่อการปกครองของดินแดนแถบโอซาก้า
• ค.ศ.1583 >>> หลังจากที่โชกุนโอดะ โนบุนากะ (Oda Nobunaga) มีชัยชนะเหนือกองทัพของวัดโอซาก้าฮอนกาจิแล้วก็มอบหมายให้โทโยโทมิ ฮิเดะโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) เป็นผู้สำเร็จราชการดูแลหัวเมืองในแถบนี้แทน เขาได้สร้างปราสาทโอซาก้าขึ้นเป็นที่มั่นบนพื้นที่ดั้งเดิมของวัดโดยเลียนแบบปราสาทอะซุฉิ (Azuchi Castle) ของโชกุนโอดะ โนบุนากะ อันเป็นศูนย์บัญชาการหลักในการปกครองประเทศสมัยนั้นเพื่อสะท้อนความเกรียงไกรและเป็นฐานในการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นครั้งแรกของญี่ปุ่น
• ค.ศ.1585 >>> ตัวปราสาทโอซาก้า (อาคารหลัก) สร้างเสร็จสมบูรณ์ (ปราสาทหลังแรก)
• ค.ศ.1598 >>> ปราสาทโอซาก้าสร้างเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดและโทโยโทมิ ฮิเดะโยชิเสียชีวิต
• ค.ศ.1600 >>> หลังจากฮิเดะโยริ โทโยโทมิ (Hideyori Toyotomi) ลูกชายของฮิเดะโยชิเข้ามาดูแลปราสาทโอซาก้าแทนก็ได้เกิดสงครามเซกิกาฮาระขึ้น (The Sekigahara War) โดยผู้นำทัพก็คือโทกุกาวะ อิเอะยาซุ (Tokugawa Ieyasu) นายทหารผู้คอยติดตามฮิเดะโยชินั่นเอง ซึ่งผลก็คือเขาได้ชัยชนะและเริ่มสร้างอาณาจักรโทกุกาวะของตนเองในเอ็นโด (โตเกียวในปัจจุบัน)
• ค.ศ.1603 >>> โทกุกาวะ อิเอะยาซุถูกแต่งตั้งให้เป็นโชกุน
• ค.ศ.1614 >>> โทกุกาวะ อิเอะยาซุเริ่มทำสงครามกับฮิเดะโยริ โทโยโทมิในฤดูหนาวที่เรียกว่าสงคราม Siege of Osaka และโชกุนโทกุกาวะก็สามารถเอาชนะสงครามได้ในปีต่อมา (ค.ศ.1615) หลังจากนั้นเขาได้ฆ่าล้างตระกูลโทโยโทมิจนสิ้นและทำลายปราสาทโอซาก้าลง
• ค.ศ.1620 >>> โทกุกาวะ ฮิเดะทาดะ (Tokugawa Hidetada) ผู้เป็นลูกชายนั้นถูกแต่งตั้งให้เป็นโชกุนคนที่สองเขาได้เริ่มบูรณะปราสาทโอซาก้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สร้างปราสาทที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่า สร้างกำแพงใหม่ให้แข็งแกร่งขึ้น
• ค.ศ.1629 >>> ปราสาทโอซาก้า (ปราสาทหลังที่สอง) กลับมาเกรียงไกรอีกครั้งอย่างสมบูรณ์
• ค.ศ.1660 >>> ปราสาทโอซาก้าถูกโจมตีจากปืนใหญ่จนไฟไหม้
• ค.ศ.1665 >>> ปราสาทโอซาก้าถูกฟ้าผ่าจนเกิดไฟไหม้และทำให้ตัวปราสาทพังทลายลงอีกครั้ง
• ค.ศ.1868 >>> ปราสาทโอซาก้าที่ทรุดโทรมนั้นถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นกองบัญชาการทางทหารญี่ปุ่นยุคใหม่ที่ได้รับอิทธิพลทางทหารมาจากฝั่งตะวันตก
• ค.ศ.1928 >>> หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ปราสาทโอซาก้า (ปราสาทหลังที่สาม) ถูกฟื้นฟูสร้างขึ้นใหม่ โดยนายกเทศมนตรีเมืองโอซาก้าในยุคนั้นได้ระดมทุนจากประชาชนจนได้รับการบริจาคอย่างสำเร็จเกินคาดทำให้สามารถสร้างปราสาทหลังใหม่และฟื้นฟูให้กลับมาตระหง่านงดงามอีกครั้ง
• ค.ศ.1945 >>> ส่วนยอดของหอคอยปราสาทโอซาก้าและโบราณสถานหลายแห่งภายในบริเวณปราสาทถูกโจมตีทางอากาศจากกองทัพอเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ตัวปราสาทนั้นไม่ถูกทำลายแต่อย่างใด
• ค.ศ. 1995 >>> รัฐบาลท้องถิ่นแห่งโอซาก้าอนุมัติงบประมาณในการซ่อมบำรุงและบูรณะปราสาทโดยตกแต่งรายละเอียดใหม่ทั้งหมดให้เป็นความงดงามตามยุคสมัยเอ็นโด รวมไปถึงการสร้างหอคอยบนยอดปราสาทเสียใหม่โดยไม่ได้ยึดตามรูปแบบดั้งเดิม
• ค.ศ. 1997 >>> การก่อสร้างและบูรณะครั้งล่าสุดเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ปราสาทหลังนี้ถูกซ่อมแซมใหม่ด้วยคอนกรีตให้มั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น ภายในนั้นถูกปรับปรุงตกแต่งใหม่หมดให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์อันทันสมัย


นอกจากความงดงามของปราสาทแล้วความสวยงามของธรรมชาติภายในสวนสาธารณะแห่งนี้ยังได้รับความนิยมไม่แพ้กันอีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่ซากุระบานนั้นปราสาทโอซาก้าแห่งนี้จะงดงามอย่างโดดเด่นและเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม
















เรือท่องเที่ยวแบบโบราณรอบๆปราสาท 


ด้านข้างคือ Nishinomaru Garden




สวนหน้าหอคอยกลาง




ก้อนหินแผ่นใหญ่ที่ทำกำแพงตรงทางเข้า








เจอเขามาถ่าย Pre-wedding 

ก่อนถึงเวลาที่จะไปสนามบินคันไซ เราแวะช้อปกันที่ Gap Outlet และหาอะไรทานเล็กๆน้อยๆกันก่อน เพราะจากนี้ไปสนามบินก็แค่ 10 นาทีเท่านั้นเอง ที่เอ้าท์เลทแห่งนี้จะว่าไปแล้วก็คงสู้โอเทมบะไม่ได้หรอกครับ แต่ก็มีของให้ได้เดินเลือกซื้อหลายอย่างเหมือนกัน เช่นเครื่งกีฬา นาฬิกา เสื้อผ้า และมากที่สุดในวันที่ไปคือเครื่องกันหนาว เช่นเสื้อกันหนาว เสื้อโค้ช อะไรพวกนั้น หลายๆร้านลดมากถึง 50-60 เปอร์เซ็นเลยทีเดียวครับ








เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆ ก็เดินทางไปสนามบิน สะพานที่โดนคลื่นซัดช่วงที่พายุเข้าก็ยังคงซ่อมแซมอยู่ รถต้องวิ่งโดยใช้าทางเบี่ยง แต่ก็ไปถึงสนามบินได้ไม่ยากนัก สนามบินคันไซเป็นสนามบินที่ถมทะเลขึ้นมาฉะนั้นจึงตั้งอยู่กลางน้ำประมาณว่าเป็นเกาะสรั้างขึ้นมาใหม่นั่นเอง แต่ที่นี่ก็คึกคักมากๆ

วันนี้เครื่องเราโดยสาบการบิน Cathay Pacific จะออกจากสนามบินเวลา 19.00 น. ทุกวันนี้เราไม่ต้องกรอกเอกสารขาออกแล้ว แต่ต่อไปเห็นว่าจะต้องจ่ายเงินค่าออกกันแล้วครับ.


Smiley ขอบคุณที่ตามอ่าน Smiley




ที่ GAP OUTLET ใกล้ๆสนามบินคันไซ

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

+ เที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 9 ... วัดโทไดจิ +






วันนี้เราเดินทางมาถึงวันสุดท้ายในทริปพายายเที่ยวไหว้พระและชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นแล้วนะครับ...บล๊อกที่แล้วเราพาคุณๆไปชมใบไม้แดงที่วัดเออิคันโดะ ในนครเกียวโตมา และในวัดนั้นในหน้าใบไม้ร่วง เป็นวัดที่มีใบไม้แดงสวยที่สุดในนครเกียวโตก็ว่าได้ครับ ....สำหรับวันนี้จะพาไปไหว้พระต่อที่วัด "โทไดจิ" เมือง นาระหรือ Nara ซึ่งว่ากันว่าเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปใหญ่ที่ทำจากสำริด  และสร้างครอบด้วยอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ

วันนี้เราแพ็คกระเป๋าออกเดินทางจากที่พักที่เมือง Kusatsu ลงใต้เกียวโตไปที่เมืองนาระ ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักของเราที่ Hotel Boston Plaza เมือง Kusatsu ประมาณ 60 กม.ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที  และจากนาระจะต่อไปโอซาก้าเพื่อชมปราสาท และไปขึ้นเครื่องกลับไทยในช่วงเย็นที่สนามบินคันไซกัน.



ยามเช้าจาก Hotel Boston Plaza 


นาระ (Nara)

จังหวัดนาระ เป็นจังหวัดในประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในภาคคันไซ มีเมืองหลวงจังหวัดในชื่อเดียวกันคือ นาระ ซึ่งในอดีตเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 1,300 ปีก่อน

นาระเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองโอซาก้า ด้วยระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร สามารถนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองนาระแบบเช้าไป – เย็นกลับได้อย่างสบายๆ ชื่อ “Nara” มาจากภาษาญี่ปุ่นคำว่า “Narasu” แปลว่าทำให้แบนราบ เนื่องจากพื้นที่ของเมือง Nara ตั้งอยู่บนที่ราบ

เมืองนาระ เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นมาก่อนในปี ค.ศ. 710-784 (ก่อนเมืองหลวงจะถูกเปลี่ยนเป็นเกียวโตในภายหลัง) ด้วยความที่ว่าเมืองนาระเป็นเมืองหลวงมาก่อน จึงมีวัดและศาลเจ้าเก่าแก่อยู่หลายที่เช่น Todai-ji, Saidai-ji, Kofuku-ji, Kasuga Shrine, Gango-ji, Yakushi-ji, Toshodai-ji, และ the Heijo Palace สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วทั้งสิ้น

กวางเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนาระ เนื่องจากชาวนาระมีความเชื่อว่ากวางเป็นสัตว์รับใช้เทพเจ้า ปัจจุบันเมืองนาระมีกวางเดินอยู่อย่างอิสระทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้า วัด หรือตามท้องถนนก็ตาม


** เมืองนาระอยู่ไม่ไกลจากโอซาก้ามากนัก คือประมาณ 35 กม. เท่านั้นเอง ฉะนั้นนักท่องเที่ยวจึงนิยมพักที่โอซาก้า หรือ ไม่ก็เกียวโตซะมากกว่า จึงทำให้เมืองนาระไม่คึกคักเท่าที่ควร ฉะนั้นทางการเมืองนาระจึงพยามสร้างสิ่งจูงใจใหม่ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้อยู่เที่ยวเมืองนี้ได้นานขึ้น อีกไม่กี่ปีเราคงเห็นอะไรใหม่เกิดขึ้นในเมืองนี้แน่นอน **






หน้าทางเข้าวัดโทไดจิ มีกวางเต็มไปหมด


จากถนนใหญ่เข้าไปวัด จะเดินผ่านทางไปสู่สวนและคลองธรรมชาติ จะมีกวางมากมายเต็มไปหมด และมีคนมาขายอาหารสำหรับเลี้ยงกวางด้วย กวางเหล่านั้นจะคุ้นเคยกัผู้คนมาก เวลาเห็นคนเดินผ่านมาเขาจะเข้ามาขออาหารกินด้วย ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวมาก


คลองน้ำที่ไหลมาจากสวนผ่านถนนเข้าสู่วัด


ประตูวัดชั้นนอก หรือ ประตูนันไดมง (Nandaimon-Gate)




พระหัตถ์นี้จะอยู่ด้านซ้ายก่อนถึงประตูชูมง


เข้าสู่ประตูวัดชั้นใน (ระหว่าง ประตูนันไดมง - ประตูชูมง) จะยังพบกวางเป็นจำนวนมากตามถนน


Kagami-ike Pond รอบๆจะมีที่นั่งพักผ่อนชมวิว


ประตูวัดชั้นใน หรือ ประตูชูมง (Chumon- Gate)


Kagami-ike Pond ก่อนเข้าวัดชั้นในและสวน




วัดโทไดจิ (Todai-ji Temple)

ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสวนสาธารณะเมืองนาระ  วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง มีความสวยงามและยิ่งใหญ่มาก สิ่งแรกที่จะพบเมื่อเดินทางมาถึงวัดคือ ประตูนันไดมง (Nandaimon-Gate) ประตูขนาดใหญ่ที่มีเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวแบบนาระสไตล์ที่สามารถมองเห็นไม้ค้ำยันโครงสร้างหลังคาได้อย่างชัดเจน ประตูบานนี้มีขนาดใหญ่มาก ต้องใช้เสาขนาดใหญ่ค้ำยันเพื่อรองรับน้ำหนักมากถึง 18 ต้นเลยทีเดียว ที่ด้านล่างของประตูแห่งนี้จะมีรูปปั้นยักษ์สองตัวคอยเฝ้าวัดอยู่ ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นที่เชื่อกันว่าสามารถขับไล่สิ่งไม่ดีได้ เมื่อเดินทะลุผ่านเข้าประตูไปเราจะพบกับ สวนขนาดใหญ่ และประตูชูมง (Chumon- Gate) ประตูสีแดงสดที่ตัดตรงเข้าสู่วิหารใหญ่ แต่ประตูบานนี้จะไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าครับ หากใครต้องการเข้าไปชมภายในวิหารใหญ่ ให้เดินเลี้ยวไปทางซ้ายจะพบทางเข้าและจุดขายตั๋วอยู่ 



อาคารหลักวัดโทไดจิ หรือ วิหารไดบุตสึเด็น (Daibutsuden Hall)



ภายในของวิหารพระใหญ่ ชื่อเต็มของวิหารพระใหญ่คือ วิหารไดบุตสึเด็น (Daibutsuden Hall) ภายในของวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระใหญ่เมืองนาระ พระพุทธรูปองค์นี้ทำจากสำริด ความสูง 16 เมตร หนัก 500 ตัน ถือเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นพระพุทธรูปองค์ต้นแบบของพระใหญ่แห่งเมืองคามาคุระ นอกจากมีพระใหญ่แล้วทางด้านขวามือของพระใหญ่จะเป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิมอีกด้วย ทางด้านซ้ายของพระใหญ่จะมีเสาต้นหนึ่งถูกเจาะรูอยู่ คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าหากใครอธิฐานอะไรแล้วสามารถลอดเสาต้นนี้ได้คำอธิฐานจะเป็นจริงครับ แต่น่าเสียดายที่รูนี้มีขนาดเล็ก เด็กๆลอดได้ แต่ผู้ใหญ่ลอดจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ

 วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.752 โดยคำสั่งของจักรพรรดิโชมุ ผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าหากมีวัดแห่งนี้สามารถคุ้มครองประชาชนให้รอดปลอดภัยจากโรคร้ายที่ระบาดอยู่ได้ การก่อสร้างวัดแห่งนี้ถือเป็นงานที่ยากลำบากมากสำหรับผู้คนในยุคนั้น ด้วยความใหญ่โตของโครงสร้างอาคารต่างๆ ว่ากันว่าต้องใช้คนก่อสร้างมากถึง 2,600,000 คนเลยทีเดียว วิหารปัจจุบันที่เราเห็นกันอยู่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ.1692 เพื่อทดแทนของเดิมที่พังทลายลงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยถูกลดขนาดเหลือเพียง 2 ใน 3 ของขนาดเดิมที่เคยสร้าง แต่ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นวิหารไม้ทีใหญ่ที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบันนี้อยู่ดี (ในวิหารจะมีโมเดลจำลองวิหารแบบดั้งเดิมให้เห็นอยู่ รวมถึงมีโมเดลจำลองเจดีย์ไม้คู่สูง 100 เมตร ที่พังทลายลงพร้อมกันวิหารใหญ่ในตอนนั้นด้วย ดูยิ่งใหญ่มากๆครับ)


เพิ่มเติม : ด้านหน้าของวิหารจะมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักเก่าแก่ใส่ชุดสีแดงตั้งอยู่ คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าหากใครมาลูบที่ส่วนใดของพระพุทธรูปนี้แล้วไปลูบส่วนนั้นของตนเอง จะช่วยให้อาการที่เจ็บป่วยบริเวณนั้นดีขึ้นครับ (ถ้าดูดีๆจะเห็นได้ชัดเลยว่าหลายส่วนของของพระพุทธรูปไม้แกะสลักนี้บุ๋มลึกเข้าไปเลยทีเดียว) 


ที่มา : https://th.japantravel.com/






วิหารหลัก หรือ วิหารไดบุตสึเด็น (Daibutsuden Hall)


จุดธูปขอพรก่อนเข้าไปไหว้พระใหญ่ ... ชาวญี่ปุ่นจะนิยมเอามือกวักควันธูปเข้าหาตัวเอง นัยว่าให้เป็นศิริมงคลกับตน


พระใหญ่ในวิหาร บางคนเรียกว่าหลวงพ่อโต หรือ พระไวโรจนะพุทธเจ้า (หมายถึงพระพุทธเจ้าที่มี รัศมีส่องสว่างไปทั่วจักรวาลดุจดังพระอาทิตย์ มีการนับถือกันมากในจีน เกาหลี และญี่ปุ่น)

หลวงพ่อโตวัดโทไดจิถูกสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งโดยเหตุผลต่างๆกัน รวมทั้งความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหว และมีการสร้างขึ้นใหม่ 2 ครั้งที่มีสาเหตุจากเหตุเพลิงไหม้ 
โดยพระหัตถ์ทั้งสองข้างที่เห็นในปัจจุบันนี้สร้างขึ้นในสมัยโมโมยามะ (พ.ศ. 2111-2158) พระเศียรในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (พ.ศ. 2158-2410) 


พระโพธิสัตย์คันนน (กวนอิม)


แบบวิหารจำลอง


เทพเจ้าในวิหาร ซ้าย: ท้าวเวสสุวัณ  ขวา: ท้าววิรูปักษ์


ซ้าย เสาวิหารขนาดใหญ่มาก  ขวา พระพุทธรูปไม้แกะสลัก

"พระพุทธรูปไม้แกะสลักเก่าแก่ใส่ชุดสีแดงตั้งอยู่ คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าหากใครมาลูบที่ส่วนใดของพระพุทธรูปนี้แล้วไปลูบส่วนนั้นของตนเอง 
จะช่วยให้อาการที่เจ็บป่วยบริเวณนั้นดีขึ้นครับ (ถ้าดูดีๆจะเห็นได้ชัดเลยว่าหลายส่วนของของพระพุทธรูปไม้แกะสลักนี้บุ๋มลึกเข้าไปเลยทีเดียว)" 






Kagami-ike Pond


ทางเดินเข้าสวน และ ศาลเจ้า Tamukeyama Hachimangu ในบริเวณนั้นมีต้นเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนใบเป็นสีแดงมากมาย


เจดีย์นี้แทนสถานที่ประสูคตรพระพุทธเจ้า








ด้านหลังภาพคือศาลเจ้า 







ใบเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงไปทั้งป่า




ใต้ต้นแปะก๊วยที่ใบกำลังหล่น








ทางเดินกลับออกจากสวน


ถ่ายจากสวนผ่าน  Kagami-ike Pond ไปที่วิหารหลัก




ด้านหลังคือห้องประชุมของเมืองนาระ


ป่าเมืองนาระ


เช้าวันนี้เราใช้เวลาที่วัดโทไดจิและสวนเมืองนาระประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อชมวัดและไว้พระ จากนั้นเดินชมและถ่ายภาพในสวนท่ามกลางอากาศที่เย็นพอควร (ประมาณ 10+ องศา) ในสวนเมืองนาระข้างๆวัดโทไดจิ แม้ใบเมเปิ้ลจะร่วงสู่พื้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีใบสีแดงเหลือไว้ให้เราได้ชมพอสมควรครับ ... เราออกจากเมืองนาระเมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. มุ่งหน้าสู่เมืองโอซาก้าเพื่อหาอะไรทานมื้อเที่ยง ก่อนเดินทางไปชมปราสาทโอซาก้า

การเข้าชมภายในวัดโทไดจิจะต้องจ่ายค่าเข้าชมจากประตูชูมง (Chumon Gate) คนละ 500 เยน แล้วเดินอ้อมไปด้านซ้ายเพื่อเข้าสู่บริเวณวัด หรือ วิหารไดบุตสึเด็น (Daibutsuden Hall) หลังจากชมภายในวิหารแล้ว ขาออกจากวิหารมีบูธขายของที่ระลึกเกี่ยวกับวัดรวมถึงเครื่องรางด้วย จากนั้นก็สามารถเดินเลี้ยวซ้ายเข้าชมสวนได้เลย

การเดินทางมาวัดแห่งนี้สามารถทำได้โดยเดินประมาณ 20 นาที หรือ นั่งรถประจำทางจากหน้าสถานี Kintetsu-Nara (Kintetsu Railways) ลงที่ด้านหน้าทางเข้าวัดประตูนันไดมง



Smiley ขอบคุณที่ตามอ่านครับ Smiley



ลาด้วยภาพใบแปะก๊วยที่หล่นภาพนี้ครับ