วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Si Thep Historical Park

 ++ เมืองโบราณศรีเทพ ++






เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธุ์ 2567 มีโอกาศได้ไปชมความยิ่งใหญ่ของเมืองโบราณศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ที่เพิ่งได้ขึ้นทะเทียนเป็นเมืองมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมใหม่ล่าสุดของไทยจาก UNESCO ... โดย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 ยูเนสโก ประกาศให้ เมืองโบราณศรีเทพ "เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม" ซึ่งเป็นแหล่งที่ 4 ของไทย และเป็นมรกดโลกแห่งที่ 7 ของประเทศไทย มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า The Ancient Town of Si Thep and its Associated Dvaravati Monuments

การได้ไปยืน เดิน และชมโบราณสถานแห่งนี้ นับว่าเป็นเรื่องโชคดีมากๆ ได้จินตนาการกับการดำรงอยู่และความยิ่งใหญ่ในสถาปัตยกรรม ชุมชน ของคนในยุคนั้น ไม่ว่าเขาจะมีเชื้อสายใดก็ตาม แต่สิ่งที่เห็นตามที่ยังเหลืออยู่นั้นมันยิ่งใหญ่สมควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง.

 

แผนผังเมืองศรีเทพ

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่คาดว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี มีร่องรอยโบราณสถานที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันมากมาย โบราณสถานส่วนใหญ่มีรูปแบบศิลปะทั้งแบบทวารวดี และเขมรโบราณ หลายคนเรียกสถานที่นี้ในชื่อสั้น ๆ ว่า “เมืองโบราณศรีเทพ”

 



เขาคลังนอกก่อนขุดค้น
 
เราขับเข้าเมืองศรีเทพและตามทางหลวงหมายเลข 2219 ไปทางวิเชียรบุรี พอถึงโรงเรียนบ้านบึงนาจานขับเลยไปนิดเดียวมีทางเลี้ยวซ้ายไปโบราณสถานเขาคลังนอก โดยขับไปประมาณ 2 กม. ก็จะถึงที่ตั้งโบราณสถานเขาคลังนอก ซึ่งยิ่งใหญ่และอลังการมากๆ บริเวณข้างๆโบราณสถานเขาคลังนอกยังมีการขายสินค้า OTOP ของชาวบ้าน พร้อมของที่ระลึกเกี่ยวกับโบราณสถานศรีเทพนี้ด้วย ... ที่อาคาร Information (ศูนย์ข้อมูล) ยังแสดงแบบจำลองให้เราได้ชมด้วย



ภาพมุมสูง (Cr. ภาพจาก web)
 

โบราณสถานเขาคลังนอก เป็นศาสนสถานขนาดใหญ่เนื่องในวัฒนธรรมทวารวดี ตั้งอยู่นอกเมือง ห่างออกไปราว 2 กิโลเมตร สันนิษฐานว่ามีลักษณะเป็นมหาสถูป มีฐานขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อด้วยศิลาแลงที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ประดับตกแต่งฐานด้วยอาคารจำลองขนาดต่างๆอยู่โดยรอบ ภายในทึบตัน มีบันไดทางขึ้นทั้ง 4 ด้าน ถือได้ว่าเขาคลังนอกเป็นศาสนสถานที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์มากที่สุดในบรรดาศาสนสถานที่ร่วมสมัยเดียวกัน



แบบจำลองโบราณสถานเขาคลังนอก

 

กราฟฟิกภาพเขาคลังนอก (Cr. Thai PBS)
 
ที่มาของชื่อเขาคลังนอก เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันมาแต่เดิม เพราะเหตุว่ามีรูปร่างลักษณะคล้ายภูเขาสูงใหญ่และเชื่อกันว่ามีทรัพย์สมบัติ และอาวุธเก็บรักษาอยู่ภายใน ประกอบกับในเขตเมืองโบราณศรีเทพ มีโบราณสถานที่มีลักษณะคล้ายภูเขาที่เรียกว่า “เขาคลังใน” จึงได้เรียกโบราณแห่งนี้ว่า “เขาคลังนอก”
 











โบราณสถานเขาคลังนอกเปิดให้เข้าชมทุกวัน ฟรี.

......................
 

จากโบราณสถานเขาคลังนอกเราขับออกไปทางเดิมที่เราเข้ามา ตามป้ายไปอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ซึ่งเป็นพื้นที่หลักสำหรับการเที่ยวชมเมืองโบราณศรีเทพในคราวนี้....เมืองศรีเทพเขามีคูน้ำล้อมรอบนะ เราข้ามคูน้ำถึงประตูเข้า แล้วไปที่ลานจอดเพื่อติดต่อซื้อบัตรเข้าชม โดยคนไทยค่าเข้าชมชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 16.30 น. หรือโทร. 0 5692 1317, 0 5692 1322 



 

เมืองโบราณศรีเทพ มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ โดยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,889 ไร่ และแบ่งออกเป็น 2 ส่วนที่เชื่อมกัน คือ เมืองส่วนใน (1,300 ไร่) และเมืองส่วนนอก (1,589 ไร่) มีสระน้ำและโบราณสถานกระจายอยู่ทั้งสองส่วน ซึ่งจากการขุดค้นพบว่า เฉพาะส่วนด้านในมีสระน้ำ หนองน้ำกระจายอยู่กว่า 70 บ่อและมีร่องรอยของโบราณสถานกว่า 48 แห่ง ซึ่งภายในอุทยานฯ จะมีรถรางนำเที่ยวชมรอบอุทยานฯ (นั่งได้ไม่เกินคันละ 20 คน) สามารถติดต่อล่วงหน้าเพื่อขอไกด์นำบรรยายได้ 

 

แผนผังการเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ...เริ่มจากอุทยานศรีเทพด้านบน เข้าไปในเมืองใน


บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพในปัจจุบัน  ประกอบไปด้วยสองส่วนด้วยกัน   ส่วนแรกเป็นพื้นที่ในส่วนเมืองโบราณศรีเทพ  ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ  2,889 ไร่  หรือประมาณ 4.7  ตารางกิโลเมตร  มีลักษณะเป็นเมืองที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบแบบเมืองในวัฒนธรรมทวารวดี    ที่ยังคงสามารถรักษารูปแบบแต่เดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์มากที่สุดโดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงแห่งหนึ่งของประเทศไทย  แบ่งพื้นที่ภายในเป็นสองเมืองที่นับได้ว่าเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะที่พบไม่มากนักในเมืองร่วมสมัยเดียวกันที่พบในปัจจุบัน โดยเมืองในมีพื้นที่ประมาณ 1,300 ไร่ เป็นเมืองรูปเกือบกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  1.5  กิโลเมตร  มีช่องประตูเมือง  6  ช่องทางและมีโบราณสถาน    ซึ่งได้รับการขุดแต่งและบูรณะแล้วทั้งหมดประมาณ  40  แห่ง  อันมีโบราณสถานเขาคลังใน   โบราณสถานปรางค์สองพี่น้องและโบราณสถานปรางค์ศรีเทพเป็นกลุ่มโบราณสถานสำคัญ รวมทั้งมีสระน้ำและหนองน้ำขนาดใหญ่จนถึงเล็กกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปประมาณ  70  สระ  ในขณะที่    เมืองนอกมีพื้นที่ประมาณ  1,589 ไร่  เป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าต่อออกไปทางด้านทิศตะวันออกของเมืองใน  มีช่องประตูเมือง 6  ช่องทางและมีโบราณสถานซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและยังไม่ได้มีการขุดแต่งและบูรณะทั้งหมดประมาณ 54 แห่ง รวมทั้งมีสระน้ำขนาดใหญ่จนถึงเล็กกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปประมาณ  30  แห่ง  มีสระขวัญเป็นสระน้ำสำคัญที่มีขนาดใหญ่และตั้งอยู่กลางเมืองและ ส่วนที่สองเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกเมืองโบราณศรีเทพ  ซึ่งเท่าที่สามารถสำรวจได้ในปัจจุบันนั้นมีโบราณสถานที่ยังมิได้มีการขุดแต่งและบูรณะประมาณ  50  แห่งและส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของเมืองโบราณศรีเทพ  โดยมีโบราณสถานเขาคลังนอกที่เป็นสถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดีเช่นเดียวกันกับโบราณสถานเขาคลังใน และโบราณสถานปรางค์ฤาษีที่เป็นสถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมเขมรเช่นเดียวกันกับโบราณสถานปรางค์สองพี่น้องและโบราณสถานปรางค์ศรีเทพ เป็นโบราณสถานสำคัญ

 

 

นอกจากนั้น บริเวณนอกเมืองโบราณศรีเทพไปทางด้านทิศตะวันตก ประมาณ 20 กิโลเมตร ยังมีโบราณสถานที่ถ้ำเขาถมอรัตน์เป็นภาพสลักบนผนังถ้ำ เป็นรูปพระพุทธรูป และพระโพธิ์สัตว์ ที่สร้างขึ้นตามความเชื่อของพุทธศาสนาลัทธิมหายานเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดี   ราวพุทธศตวรรษที่ 14 อันมีความเกี่ยวพันที่ใกล้ชิดกับคติความเชื่อของผู้คนในเมืองโบราณศรีเทพในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย

สำหรับเส้นทางการท่องเที่ยวและการศึกษาภายในอุทยานประวัติศาสตร์   เพื่อให้ง่ายต่อการสร้างความรู้ความเข้าใจสามารถเดินทางเข้าชมเข้าศึกษาตามลำดับได้ดังนี้
(ที่มา: กรมศิลปากร)

การเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เขาจะมีรถรางพาเราเข้าไปใจกลางเมืองศรีเทพ แล้วปล่อยให้เราเข้าชมตามอัธยาศัย โดยเริ่มจากหลุมขุดค้นเป็นต้นไป และเราจะกลับมาขึ้นรถกลับออกไปที่ลานจอดรถได้จากจุดเดียวกันนี้.

 


อาคารหลุมขุดค้นทางโบราณคดี



หลุมขุดค้น

อาคารหลุมขุดค้นทางโบราณคดี เป็นอาคารจัดแสดงโครงกระดูกมนุษย์และโครงกระดูก ช้าง ที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อปี พ.ศ. 2531 โดยโครงกระดูกมนุษย์และสิ่งของเครื่องใช้ที่พบร่วมกันนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานของชุมชนในระยะแรกเริ่มสมัยก่อนประวัติศาสตร์ภายในเมืองโบราณศรีเทพที่มีมากว่า 2,000  ปี  ก่อนที่จะมีการพัฒนาขึ้นมาเป็นสังคมเมืองโดยการรับวัฒนธรรมทวารวดีและเขมรตามลำดับ ส่วนโครงกระดูกช้างนั้นนับเป็นหลักฐานสำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการใช้สอยโบราณสถานเนื่องใน  วัฒนธรรมทวารวดีสืบเนื่องมาถึงวัฒนธรรมเขมรในทางใดทางหนึ่ง  เนื่องจากมีการพบอยู่ในระดับเดียวกันกับฐานโบราณสถานชั้นล่างสุด
(ที่มา: กรมศิลปากร)



โครงกระดูมนุษย์สูง 180 ซม.



ปรางค์สองพี่น้อง


ปรางค์สองพี่น้อง  เป็นสถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมเขมร  มีลักษณะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐสององค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน  หันหน้าไปทางทิศตะวันตก  ทั้งสององค์ส่วนยอดพังทลายไปจนหมดสิ้นแล้ว  แต่องค์เล็กยังหลงเหลือทับหลังศิลาทรายที่มีสภาพสมบูรณ์ประดับอยู่จำหลักเป็นรูปอุมามเหศวร (พระอิศวรอุ้มนาง ปารพตี (อุมา) ประทับนั่งอยู่เหนือโคอศุภราชหรือนนทิ)  จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุที่พบทำให้อนุมานได้ว่าปรางค์สองพี่น้องนี้คงสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยเนื่องในศาสนาฮินดู(พราหมณ์)ลัทธิไศวนิกายในราวพุทธศตวรรษที่  17  แล้วต่อมาจึงได้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายานในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่  7  (พ.ศ. 1724 - 1760) 

ทั้งนี้  บริเวณทางเดินรูปกากบาทด้านหน้าปรางค์สองพี่น้องที่ต่อเชื่อมกับทางเดินโบราณนั้นได้มีการค้นพบเทวรูปพระอาทิตย์หรือสุริยเทพผู้เป็นเทพแห่งแสงสว่างและความอบอุ่น  สลักจากศิลาทรายที่มีกำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 13  ซึ่งเมื่อนับรวมกับที่เคยพบมาก่อนแล้วอีก  5 องค์ ทำให้มีการพบทั้งหมดถึง  6  องค์  ซึ่งทั้งหมดมีกำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่  12 - 13  (ปัจจุบันจัดแสดงและเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร  กรุงเทพมหานคร  จำนวน  3  องค์  จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์นอร์ตัน  ไซมอน  สหรัฐอเมริกา  จำนวน  1  องค์  จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  สมเด็จพระนารายณ์  จังหวัดลพบุรี  จำนวน 1  องค์ และเก็บรักษาไว้ที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ  จำนวน 1 องค์)  ซึ่งนับเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในศาสนาฮินดูที่เคารพนับถือในพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ อันจะมีพิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับประเพณีมหาสงกรานต์ที่มีการพบเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยปัจจุบัน
(ที่มา: กรมศิลปากร)
 



ปรางค์องค์เล็กทางขวามือพร้อมทับหลังบนประตู



ทับหลังที่ปรางค์สองพี่น้ององค์เล็ก







เขาคลังใน  เป็นศาสนสถานสำคัญประจำเมืองที่มีขนาดใหญ่เนื่องในวัฒนธรรมทวารวดี     ที่สร้างขึ้นพร้อมกับสมัยแรกสร้างเมืองในราวพุทธศตวรรษที่  12  เพื่อเป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิหินยานหรือเถรวาท แล้วต่อมาจึงได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายานในราวพุทธศตวรรษที่  14  และคงใช้สอยตลอดมา จนกระทั่งเมืองถูกทิ้งร้างไปในราวพุทธศตวรรษที่ 18 มีลักษณะก่อด้วยศิลาแลง หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก บริเวณฐานด้านทิศใต้และตะวันตกยังหลงเหลือประติมากรรมปูนปั้นรูปคนแคระที่มีศีรษะเป็นบุคคลหรือสัตว์ต่างๆ สลับกับรูปสัตว์ในท่าแบกประกอบลายพันธ์พฤกษา  ซึ่งพบและหลงเหลือประดับอยู่ที่ฐานโบราณสถานเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยปัจจุบัน
(ที่มา: กรมศิลปากร)






รูปปั้นต่างๆที่ฐานเขาคลังในได้สร้างหลังคาป้องกันแดดและฝนไว้






รูปปั้นที่เป็นแบบไอศครีมศรีเทพ



รูปปั้นสิงห์โตที่ฐาน

มีคำถามว่าในเมื่อพื้นที่ในบริเวณที่เป็นเมืองศรีเทพในเวลานั้น ไม่มีสัตว์จำพวกสิงห์โตอยู่เลย แล้วช่างปั้นไปเอาแบบสิงห์โตนี้มาจากไหน?  ซึ่งข้อสันนิษฐานคำตอบอาจจะเป็นไปได้ว่า เวลานั้นเมืองศรีเทพได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติแล้วและช่างปั้นที่มาปั้นสิงห์โตนี้อาจจะเคยอยู่ในที่มีสิงห์โตหรือเห็นสิห์โตมาก่อน เลยจำมาปั้นได้ที่เมืองศรีเทพนี้.



ล้อธรรมจักรศรีเทพอายุ 1,400 - 1.100 ปี



ข้อมูลล้อธรรมจักร



ถ่ายกับ วัตถุโบราณที่ขุดค้นได้บริเวณปรางค์ศรีเทพ



ปรางค์ศรีเทพ


ปรางค์ศรีเทพ   เป็นสถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมเขมรมีลักษณะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่ หันหน้าไปทางด้านตะวันตกในแนวแกนเดียวกับปรางค์สองพี่น้อง  จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุที่พบโดยเฉพาะทับหลังทำให้อนุมานได้ว่าคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยเนื่องในศาสนาฮินดู (พราหมณ์)  ลัทธิไศวนิกายในราวพุทธศตวรรษที่  16 - 17   ต่อมาคงมีการพยายามซ่อมแซมดัดแปลงแต่ยังไม่แล้วเสร็จเพื่อใช้เป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายานในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7  (พ.ศ. 1724 - 1760)  เช่นเดียวกันกับปรางค์สองพี่น้อง เนื่องจากมีการพบชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมที่เป็นเพียงโกลนอยู่เป็นจำนวนมาก



สระปรางค์ เป็นสระที่ใหญ่ที่สุดในจำนวน 70 สระในเมืองในอุทยานศรีเทพ



วัตถุโบราณที่ขุดค้นได้และนำมาวางไว้ใกล้อาคารข้อมูล
 
ศูนย์บริการข้อมูล เป็นอาคารจัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดีของเมืองโบราณศรีเทพ  รวมทั้งการอนุรักษ์ให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ภายในประกอบด้วยห้องประชุม หรือบรรยายสรุปก่อนการเข้าชมนิทรรศการเป็นหมู่คณะ ห้องนิทรรศการถาวรด้วยสื่อทันสมัย ห้องสร้างเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองของเด็ก  ส่วนจำหน่ายหนังสือ  เครื่องดื่มและของที่ระลึก  และอาคารปฏิบัติการทางโบราณคดีที่ใช้จัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้จากการดำเนินงานทางโบราณคดีภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ และบริเวณใกล้เคียง



โบราณวัตถุที่ได้จากการดำเนินงานทางโบราณคดีภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ



ไอศครีมศรีเทพ ซื้อได้ใกล้กับจุดจำหน่ายบัตรเข้าอุทยาฯ


รุ่งเรือง สู่เมืองร้าง .. 

ทราบว่า “ศรีเทพ” เจริญรุ่งเรืองถึง 700-800 ปี แล้วเพราะอะไร ถึงร้างได้ นักโบราณคดีชื่อดัง อธิบายว่า ทุกเมืองที่ร้างไป ย่อมมีสาเหตุ บางเมืองถูกพัฒนาจนถึงสูงสุด จนไม่สามารถพัฒนาได้แล้ว ก็เป็นได้ เช่น มีคนมากเกินไป หรือ...การต้องเผชิญหน้ากับโรคระบาด และเมื่อมีคนเจ็บตายมาก ก็อาจต้องย้ายเมือง
หรือ...อาจเกิดศึกสงคราม และการกวาดต้อนผู้คน แต่โดยปกติแล้ว เวลาเกิดสงคราม ก็มักจะทำลายเมืองไปด้วย เพื่อไม่ให้คนกลับมาอยู่

แต่กับศรีเทพ มีความเจริญเป็นอย่างมาก ทั้งที่อยู่ในสมัยทวารวดี แต่พอพุทธศตวรรษที่ 16-18 ก็เริ่มมีศิลปะแบบเขมรเข้ามา จากนั้นหลังพุทธศตวรรษ ที่ 18 อาณาจักรฝั่งเขมรเสื่อมอำนาจลง ทำให้ปกครองอาณาจักรต่างๆ ที่เคยอยู่ในอาณัติไม่ได้ ดังนั้น จึงมีการตั้งตัวเองเป็นใหญ่ และวิธีการสร้างบ้านแปงเมือง คือ การ “กวาดต้อน” ผู้คน และจากข้อสังเกต คือ ช่วงเวลานั้น เมืองสุโขทัย หรืออยุธยา ที่กำลังเริ่มใหญ่ อาจจะกวาดต้อนผู้คนจากศรีเทพ เข้ามารวมก็เป็นได้ จึงทำให้เมืองเก่าที่เคยอยู่บริเวณนั้น ร้างลาผู้คน นี่คือข้อสันนิษฐานที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะจากการศึกษา เรื่อง พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หลังสวรรคต เมืองก็ถูกทิ้งร้างเช่นเดียวกัน
(ที่มา: https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2726815)

 
 


เขาคลังใน



วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

อำลาสวีเดน .... สต๊อกโฮล์ม ep.2



 
อัพบล๊อกวันนี้เป็นเอนทรี้สุดท้ายของทริปสแกนดิเนเวียแล้วนะครับ ซึ่งจะพาท่านไปชมบางที่บางแห่งในกรุงสต๊อกโฮล์ม ซึ่งเป็นนครที่ได้รับฉายาว่า "เวนิสแห่งยุโรปเหนือ" นอกจากนั้นเมืองยังได้รับรางวัล "นครหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป" เช่นเดียวกับเอเธนส์ ปารีส และอัมสเตอร์ดัมอีกด้วยครับ ... ในบล๊อกที่แล้วเราพาท่านเดินทางด้วยเรือสำราญ Silja Line จากกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ข้ามทะเลบอลติกมาที่กรุงสต๊อกโฮล์มและขึ้นจากท่าเรือประมาณ 9.40 น. และไปชมพิพิธภัณฑ์เรือรบโบราณ ตามด้วยศาลาว่าการกรุงสต๊อกโฮล์ม สถานที่ที่เขาจัดงานเลี้ยงให้ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆยกเว้นสาขาสันติภาพ ซึ่งมีพิธีมอบกันที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ครับ ... วันนี้จะต่อด้วยการพาท่านไปชมวิวของตัวเมืองในมุมสูงบนถนน Fjallgatan ที่ว่ากันว่ามองเห็นเมืองสต๊อกโฮล์มในมุมที่สวยที่สุดครับ.
 
 

แผนที่ย่านที่เราเที่ยวชมในสต๊อกโฮล์ม (วงกลมแดง)

สต็อกโฮล์ม เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศสวีเดน ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลทิศตะวันออกของประเทศสวีเดน มีประชากรในเขตเทศบาลสต็อกโฮล์ม 909,000 คน ถ้านับเขตที่อยู่อาศัยโดยรอบทั้งหมดจะมีประชากรประมาณ 2.2 ล้านคน .... ประวัติศาสตร์ที่เก่าที่สุดของสต็อกโฮล์ม เริ่มที่ ค.ศ. 1252 โดยสต็อกโฮล์มเป็นเมืองศูนย์กลางในการค้าขายแลกเปลี่ยนแร่เหล็กจากเหมืองใกล้เคียง สต็อกโฮล์มก่อตั้งเป็นเมืองที่อยู่อาศัยเต็มรูปแบบเพื่อปกป้องตัวเองจากนักเดินเรือต่างถิ่น สต็อกโฮล์มเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิสวีเดนอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1634

ในช่วง ค.ศ. 1713–1714 สต็อกโฮล์มพบปัญหาการระบาดของกาฬโรค และสงครามใหญ่ทางภาคเหนือระหว่างสวีเดนกับชาติยุโรปเหนืออื่น ๆ ใน ค.ศ. 1721 ซึ่งส่งผลให้จักรวรรดิสวีเดนต้องสิ้นสุดลง และเมืองสต็อกโฮล์มเสียหายอย่างหนัก ... สต็อกโฮล์มค่อย ๆ ฟื้นความสำคัญกลับคืนมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้า



ผ่านย่านเมืองเก่า (Gamla Stan)



ถนนในกรุงสต๊อกโฮล์ม






Downtown Camper Hotel เราพักที่นี่



ใกล้หน้าคริสต์มาส มีการประดับไฟสวยงาม

ด้วยสภาพอากาศที่หนาวมากในบ่ายวันที่ 29 พฤศจิกายน 2019 เราพยามจะเดินออกไปเก็บภาพท่ามกลางการเตือนภัยจากทั้งพนักงานที่โรงแรมและไกด์ทัวร์ ว่าบนถนนคนเดินมีมิจฉาชีพเดินปะปนอยู่มากมาย ต้องระวัง การสะพายกระเป๋าต้องทำตามสูตรของนักท่องเที่ยวคือ ถ้าเอากระเป๋าไว้ด้านหลัง โอกาสเป็นของพวกเขามีสูง ถ้าอยู่ด้านข้างก็ห้าสิบสห้าสิบ จะให้ปลอดภัยต้องเอาไว้ด้านหน้า และอย่าพกของมีค่าติดตัวออกไปมากนัก ช่วงหลังนี้เวลาไปยุโรปไม่ว่าเมืองไหนก็ต้องระวังกันให้มากนะครับ เพราะหลังจากที่ทางตะวันออกเขาเป็นอิสระจากรัสเซีย จะมีพวกแสวงหารายได้เข้ามาในยุโรปตะวันตกมาขึ้น และด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่ต่างกันมากเหตุการณ์พวกนี้จึงมีมากขึ้นครับ ... จริงๆเราก็มีแต่กล้องและกระเป๋าสะตังค์ที่แบ่งเก็บหลายที่ ส่วนใหญ่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะได้คลำดูบ่อบๆ การเดินบนถนนก็พยามอย่าเข้าในฝูงชนมากนัก (ในเคสที่ทำได้) ... เมื่อเตรียมพร้อมเราก็ออกลุยย่าน pedestrain squre ด้วยตัวเราเองคนเดียว กะว่าจะเดินไปให้ถึงเกาะเมืืองเก่าให้ได้ เพราะจากที่พักที่ดาวน์ทาวแคมเปอร์โฮเทลก็ไม่ไกลนัก ถ้าดูชื่อถนนไม่ผิดวันนั้นออกไปเดินบนถนน Drottninggatan ซึ่งผู้คนเยอะมาก (ในภาพนั่นประมาณ 15.30 น. แต่มืดแล้ว เพราะช่วงนั้นกลางวันสั้น คือ 9.30 น. - 15.00 น.) ร้านค้า ห้างมากมายจนเมือยจะแวะครับ เดินได้ซักพักก็ต้องหลบเข้าร้านไปอาศัยไออุ่น.
 


บนถนน Drottninggatan (สามารถเดินทะลุไปเมืองเก่าได้...แต่หนาวเลยไปไม่สุด)


ใกล้ๆที่พักและสถานีรถไฟใต้ดิน


ประติมากรรมคริสตัล Sergel Torg ที่ pedestrian Square
ประติมากรรมแท่งคริสตัล : แท่งนี้ทำไว้ล้ำหน้าจริงๆ เหมือนในหนังวิทยาศาสตร์เลย ออกแบบโดย Edvin Öhrström เป็นแท่งเหล็กและกระจก อยู่ที่จตุรัส Segels กลางกรุงสต๊อกโฮล์ม.

 


ตลาดดอกไม้ใกล้ๆถนนคนเดิน


ย่าน pedestrian square หน้าโรงแรมที่พัก






วิวจาก Fallgatan
ว่ากันว่าเรือรบโบราณที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ VASA ได้แล่นออกมาจมบริเวณนี้







ด้วยการที่กรุงสต๊อกโฮล์มตั้งอยู่บนเกาะถึง 14 เกาะ จึงทำให้บริเวณรอบๆเมืองเห็นเป็นฝั่งทะเลไปเกือบทั้งหมด จุดที่เป็นเมืองสต๊อกโฮล์มปัจจุบันเป็นจุดบรรจบของทะเลสาบ Malaren กับ ทะเลบอลติค และกลางเมืองของสต๊อกโฮล์มจึงเสมือนตั้งอยู่บนทะเลเลย (อ่านเพิ่ม

จุดที่เราไปจอดชมวิววันนี้มองเห็นเมืองสต๊อกโฮล์มได้ไกลสุดๆ ทางซ้ายมือในภาพคือย่านเมืองเก่าบนเกาะ ส่วนทางขวามือคือทะเลบอลติคครับ ... เรือ VASA หรือเรือรบโบราณ ซึ่งสร้างขึ้นระหว่างปี 1626 และ 1628 เรือได้อับปางจมลงในการเดินเรือครั้งแรกเมื่อแล่นไปได้เพียง 1,300 เมตร (1,400 หลา) ในวันที่ 10 สิงหาคม 1628 แต่จุดที่เรือจมไม่เป็นที่ชัดเจนนัก แม้มีการเก็บกู้ปืนใหญ่สำริดส่วนมากของเรือขึ้นมาได้ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนกระทั่งปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1950 จึงมีการพบตำแหน่งของเรือท่ามกลางเส้นทางเดินเรือที่วุ่นวายนอกอ่าวสต๊อกโฮล์มในบริเวณที่ใกล้ๆนี้.








เดินทางสู่สนามบินอาลันดา


บ้านเรือนริมถนนที่สนามเต็มไปด้วยหิมะ






ที่หน้าโรงแรม Downtown Camper



สนามบินอาลันดา (ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย)


งานเลี้ยงย่อมมีการเลิกลา...และแล้ววันสุดท้ายของทริปก็มาถึง หลังมื้อเที่ยงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2019 เราออกจากกรุงสต๊อกโฮล์มเพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินอาลันดา (Arlanda) ด้วยเที่ยวบินที่ TG 961 บินตรงสู่สุวรรณภูมิ ... จากสต๊อกโฮล์มเราใช้เวลาเดินทาง 45 นาทีถึวสนามบิน 

ท่าอากาศยานสต็อกโฮล์ม-อาลันดา (Stockholm-Arlanda Airport) ตั้งอยู่ที่เขตซิกทูนา มณฑลสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ห่างจากกรุงสต็อกโฮล์มไปทางเหนือประมาณ 42 กิโลเมตร เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดของสวีเดน และเป็นท่าอากาศยานหลักสู่ประเทศสวีเดน เป็นหนึ่งในท่าอากาศยานหลักของสแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์ ซิสเต็ม ใหญ่เป็นอันดับสามในประเทศกลุ่มนอร์ดิก มีผู้ใช้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศหนาแน่นเป็นอันดับสองในภูมิภาค รองรับผู้โดยสารกว่า 19 ล้านคนต่อปี ในปี ค.ศ. 2011 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 14 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 5 ล้านคนเป็นศูนย์จำลองการบินของสถาบันการบินออกซฟอร์ด


ภายในอาคารสนามบินอาลันดา (ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย)

นอกจากนี้ท่าอากาศยานอาลันดายังเป็นหนึ่งในท่าอากาศยานที่ใช้เป็นที่ลงจอดฉุกเฉินของกระสวยอวกาศ ขององค์การนาซ่าอีกด้วย

.............

 
สรุป การเดินทางในทริปสแกนดิเนเวียโดยเริ่มต้นที่โคเปนเฮเกนในเช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน 2019 เที่ยวกรุงโคเปนเฮเกนแล้วเดินทางโดยเรือสำราญ DFDS ไปสู่กรุงออสโล เที่ยวที่กรุงออสโล แล้วเดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศจากสนามบินกรุงออสโลไปเมืองเบอร์เกนในเย็นวันที่ 25 พ.ย ชมเมืองและเดินทางต่อไปขึ้นรถไฟสายโรแมนติกไปฟล๊อม แล้วลงเรือชมฟยอร์ดไปขึ้นที่กู๊ดวานเกน จากนั้นนั่งรถไฟพักที่สกีรีสอร์ทที่เมือง Geilo ในวันที่ 26 พย.  ตอนเช้าเดินทางต่อไปที่ออสโลและเที่ยวต่อ ตอนค่ำวันเดียวกันบินต่อไปกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เข้าพักที่โรงแรม Redisson blue ในวันที่ 27 พย. เที่ยวที่เฮลซิงกิในวันรุ่งขึ้นก่อนที่จะนั่งเรือ Silja Line ไปสต๊อกโฮล์มและเที่ยวที่นั่นต่อในเย็นวันที่ 28 พย. เที่ยวที่สต๊อกโฮล์ม 29-30 พย. ก่อนเดินทางกลับไทยในบ่ายวันที่ 30 พย.  2019 .
 
13จบทริปสแกนดิเนเวียโดยสมบูณ์ ขอบคุณที่ติดตามครับ13
 


วิวจาก Stockholm City Hall.


ลาด้วยภาพจากศาลาว่าการกรุงสต๊อกโฮล์ม