วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2568

เขาสี่ดรุณี ... มณฑลเสฉวน ประเทศจีน

 

 
การเดินทางของเราที่เฉิงตูวันนี้เข้าวันที่ 2 จาก 7 วัน ซึ่งวันนี้เรามีโปรแกรมไปเที่ยวที่ เขาสีดรุณี ซึงต้องเดินทางจากตูเจียงเยี่ยน นครเฉิงตูประมาณ 4 ชั่วโมงเลยล่ะ ... การเดินทางด้วยรถบัสนำเที่ยวที่ต้องลัดเลาะไปตามหุบเขา เลียบแม่น้ำที่ละลายจากภูเขาหิมะ บางช่วงต้องลอดอุโมงค์กว่า 7 กม.  ชอบถนนในประเทศจีนสมัยใหม่นี้มาก เพราะหลายๆช่วงเขาตัดผ่านเขาโดยเจาะอุโมงค์ซึ่งทำให้รถไม่ปีนมาก ... รถวิ่งจากระดีบความสูง 500 เมตรที่นครเฉิงตู ปีนขึ้นเรื่อยๆจนถึงระดับ 3700 เมตร ก่อนจะถึงทางเข้าอุทยาน..



พักเข้าห้องน้ำระหว่างทางที่เป็นของเอกชน...ก็ยังเป็นแบบรางเหมือนเดิม...ป้ายเก๋ดีมีแพนด้าด้วย

การเดินทางแบบยาวๆนี่้ สำหรับคนไทยแล้วต้องอยากเข้าห้องน้ำแน่นอน ถ้าเป็นทางด่วนของรัฐบาลนานๆจะมี Service Area แบบที่บางประกงบ้านเราเหมือนกัน และห้องน้ำค่อนข้างดี สะอาดด้วย ... แต่ถ้าเป็นของเอกชน ก็ยังแบบเดิมๆที่ทุกท่านมีข้อมูล เอาน่ะพอแก้ขัดได้ สำหรับผู้หญิงก็ต้องลืมความอายไว้ที่บ้านเราล่ะ ... ตรงนี้ก็เหมือนกัน รถทัวร์แวะจอดให้ระบายโดยจ่ายคนละ 1 หยวน (ซึ่งก็ประมาณนี้ สำหรับของเอกชน) ออกมาจากห้องน้ำ ก็เจอวิวาสวยๆ ธารน้ำใสๆเขียว ยอดเขาที่คลุมด้วยหิมะ ทำให้พอลืมสภาพห้องน้ำได้ครับ



ทางเข้าอุทยาน

ภูเขาสี่ดรุณี หรือ ชื่อในภาษาจีน ซื่อกูเหนียงซาน (Siguniangshan) หากแต่ชาวทิเบตเรียกขานกันในนามแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์  "Skola"   ซึ่งแปลว่า "เทพเจ้าผู้ปกปักรักษา"  

ภูเขาสี่ดรุณี คือ เป้าหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวสายรักเขาจากทั่วโลกต่างปักหมุดไว้ว่า “สักครั้งในชีวิตต้องมาเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยใจ” สำหรับคนเอเชียแล้ว ที่นี่งดงามยิ่งใหญ่ไม่แพ้เขาทิสลิต หรือจุงเฟราแห่งสวิสเซอร์แลนด์เลย หรือ แม้แต่เทือกเขาแอลป์ก็ตาม จนได้รับการขนานนามจากผู้มาเยือนว่า ภูเขาสี่ดรุณี คือ ภูเขาแอลป์แห่งดินแดนตะวันออก อีกทั้งธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำ ลำธาร ต้นไม้ ทุ่งหญ้าอันงดงาม  จึงเป็นจุดดึงดูดผู้คนให้ได้มาสัมผัสกับความงามระดับโลกแห่งนี้

ภูเขาสี่ดรุณี ตั้งอยู่ใน อุทยานฉางผิง เขตปกครองตนเองอาป้า มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ซึ่งห่างจากนครเฉิงตูประมาณ 220 กิโลเมตร  โดย อุทยานฉางผิง มีเนื้อที่กว่า 2,000 ตร.ก.ม. มีชนกลุ่มน้อยหลายเชื้อชาติอยู่ตามหุบเขาและลำธารน้อยใหญ่ เช่น เชื้อชาติทิเบต ยี่ เมี่ยว หุย เซียง
 


 

การเดินทางเข้าไปชม เขาสี่ดรุณีต้องมีค่าเข้า ซึ่งก็จะไปรวมกับค่ารถบัส (แบบรถเมล์ยุโรป..สีเขียว) ซึ่งต้องเดินทางเข้าไปอีก 35 กม. หรือ 45 นาที โดยประมาณ รถจะนำเราเข้าไปจอดจุดสูงสุดก่อน นั่นก็คือจุดวิวยอดเขา สี่ดรุณี แล้วค่อยๆเที่ลงมาเรื่อยๆ อี 6-7 จุด (เรามีเวลาครึ่งวันเที่วได้ 3 จุดไฮไลท์ ก่อนอุทยานจะปิด

 

แผนที่เที่ยวในอุทยาน




จุดชมวิวเขาสี่ดรุณี




ตำนานที่มาของชื่อ “สี่ดรุณี หรือ ซื่อกูเหนี่ยงซาน ( 四姑娘山 ) สาวงามแห่งเสฉวน
ซื่อ 四 แปลว่า สี่ 
กูเหนี่ยง 姑娘 แปลว่า หญิงสาว
ซาน 山 แปลว่า ภูเขา

ใกล้กับภูเขาสี่ดรุณี จะมีหมู่บ้านชาวทิเบตที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ได้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาอย่างยาวนานของโศกนาฏกรรมความรักความผูกพันของสี่สาวพี่น้อง ที่แม้แต่ความตายก็มิสามารถพลัดพรากพวกเธอให้จากกันไปได้ 

เรื่องเล่านั้นมีอยู่ว่า....นานมาแล้ว ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้มีหญิงสาว 4 คน ซึ่งเป็นพี่น้องกัน หญิงสาวทั้งสี่มีหน้าตาผิวพรรณงดงามเกินกว่าหญิงใดบนโลกนี้จะทัดเทียมได้ จนผู้คนที่พบเห็น ต่างพากันร่ำลือ และในที่สุดความงามของนาง ก็ได้ระบือไปไกลถึงดินแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล 

ดินแดนซึ่งมียักษ์ตนหนึ่งอาศัยอยู่เพียงลำพัง ด้วยความเหงา และว้าเหว่สุดหัวใจ ยักษ์ตนนั้นจึงได้ตัดสินใจเดินทางมาขอหญิงสาวทั้งสี่กับบิดาของนางเพื่อไปเป็นภรรยา แต่บิดาของหญิงสาวทั้งสี่ได้ปฏิเสธ จึงทำให้ยักษ์ตนนั้นพิโรธ และต่อสู้กับบิดาของหญิงสาวด้วยเวทย์มนต์คาถา ก่อให้เกิดภูเขาสูงชันมากมาย สภาพหมู่บ้านนั้นจึงเปลี่ยนไปตลอดกาล และแล้วบิดาของหญิงสาวก็ได้พ่ายแพ้ให้แก่ยักษ์ตนนั้น และเสียชีวิตในเวลาต่อมา 

เมื่อไร้ที่พึ่งพิง หญิงสาวทั้งสี่จึงพากันหนีเข้าป่าไปด้วยความหวาดกลัว แต่แล้วยักษ์ก็ตามไปทัน หญิงสาวทั้งสี่อ่อนล้าสิ้นแรงเกินจะหนีได้อีกต่อไป จึงอธิษฐานว่า “ขอให้เราสี่พี่น้อง อย่าได้ตกเป็นภรรยาของยักษ์ผู้ฆ่าบิดาของพวกเราเลย และขอให้เราสี่พี่น้องได้อยู่เคียงกัน ถึงแม้ความตายก็มิสามารถพลัดพรากให้เราจากกันไปได้” ทันใดนั้นก็เกิดพายุใหญ่หอบนางทั้งสี่มาบริเวณภูเขา และพายุก็พัดเอาหิมะมาเกาะ ปกคลุมตัวนางจนแข็งตาย จนเกิดเป็นภูเขา 4 ลูกเรียงต่อกัน และมีหิมะปกคลุมขาวโพลนตลอดทั้งปี ราวกับเจ้าหญิงที่มีผ้าคลุมอันขาวบริสุทธิ์งดงาม

ผู้คนจึงขนานนามว่า ภูเขาสี่ดรุณี หรือ ซื่อกูเหนี่ยงซาน


ที่มา : https://biggestjoy.com

 


 

บนยอดเขาทั้ง 4 ลูกนี้ มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ทำให้ดูเหมือนหญิงสาว 4 คนที่ศีรษะมีผ้าคลุมสีขาว จึงเป็นที่มาของชื่อ “ภูเขาสี่ดรุณี” ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ ฉางผิงโกว และ ไห่จื่อโกว และยอดเขาทั้ง 4 ลูก มีชื่อเรียกและความสูง ดังนี้
1. พี่สาวคนโต : ต้ากูเหนียงเฟิง (大姑娘峰) ความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,355 เมตร
2. พี่สาวคนรอง : เอ้อกูเหนียงเฟิง (二姑娘峰) ความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,454 เมตร
3. พี่สาวคนกลาง : ซานกูเหนียงเฟิง (三姑娘峰) ความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,664 เมตร
4. น้องสาวคนเล็ก : เหยาเหนียงเฟิง (幺妹峰) ความสูงจากระดับน้ำทะเล 6,250 เมตร
 





Sigunianshan View Point.



Sigunianshan View Point.


6666




 

จากจุดชมวิวเขาสี่ดรุณี เรานั่งบัสสีเขียวของทางอุทยานลงมาที่ Potala Peak ซึ่งจุดชมวิวและถ่ายภาพสวยงามไม่แพ้ด้านบนเช่นกัน รวมทั้งลำธารใสเย็น (แต่ไม่เห็นตัวปลาแฮะ) .... Potala Peak จุดชมวิวภูเขาหิมะ 360° จุดฮิตถ่ายรูปบนถนนของคนจีน จุดที่เราเห็นคนจีนนั่งถ่ายรูปบนถนนในอุทยานบ่อยๆตามคลิป คือจุดนี้เลย เป็นแลนด์มาร์คนึงที่บอกว่าฉันมาถึงสี่ดรุณีแล้วนะ












เจดีย์แบบทิเบต















รถบัสแบบ Hop on - Hop off (ขึ้นและลงได้ตลอด)

.......
 
 


จุดชสวิวที่ 3 เราในวันนี้คือ Sigu Nacuo (ซิกู นาคูโอ)  ... วึ่งมีเทอเรซให้ยืนชมวิว และถ่ายภาพผ่านทะเลสาบ ... Sigu Nacuo (ระดับความสูง 3,588 ม.) ตรงนี้จะเป็นสะพานไม้ที่สามารถเดินรอบทะเลสาบได้ (ใช้เวลา 10-30 นาที) ถ้าฟ้าเปิดอากาศดีจะมองเห็นภาพสะท้อนของภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและต้นไม้ที่ตายแล้ว

 






​​​​​​เราเที่ยวได้ 3 จุด ก็ถึงเวลาที่ทางอุทยานจะปิดแล้ว เราต้องรีบออกไปที่ทางเข้าให้ทัน 4 โมงเย็น ก่อนที่เขาจะปิด ... ออกจากอุทยานแล้วเดินเท้าไปที่พักซึ่งอยู่ด้านหน้านี่เอง คือ Jinlinlou Hotel ซึ่งก็ดูดีนะ ที่นี่เราทานอาหารเที่ยง เย็น และเช้า อุณหภูมิ วันนี้ติดลบ ครับ ... เตรียมพลังเพื่อไปลุย อุทยานปี้เผิงโกว ในวันพรุ่งนี้คับ.

ที่พัก & อาหารการกิน ... สำหรับการเดินทางในเฉิงตูกับ Quality Express ในครั้งนี้ ที่พักเราอยู่ระดับเดียวกับ Holiday Inn หรือประมาณ 4 ดาว ซึ่งถือว่าโอเคทุกที่ จะแตกต่างกันเล็กน้อย ส่วนเรื่องอาหาร ก็มาตรฐานจีนเขานั่นแหละ ... อาหารเช้าก็จะเป็นแบบ Asia หรือ China เป็นส่วนใหญ่ (เน้นข้าว ข้าวผัด ข้าวต้ม ขนมแป้งแบบจีน เป็นต้น)... อาหารตะวันตกมีน้อย เห็นมีแต่โรงแรมในเฉิงตู เช่นที่ Holiday Inn และ Mijin Hotel เท่านั้น เครื่องดื่มเช้าๆ ก็เป็นพวกกาแฟจีน และชา ส่วนกาแฟแบบที่เราชอบคือ Americano หรือ Black coffee ถ้าพ้นจาก 2 โรงแรมที่กล่าวแล้วก็ต้องอาศัยหัวหน้าทัวร์ซึ่งก็บริการดีครับ.


 

อาหารเที่ยงและเย็น โดยทั่วไปประมาณนี้ ... แตกต่างกันเล็กน้อยในบางมื้อ
 

ส่วนอาหารเที่ยงและเย็นในทริปนี้ก็จะคล้ายๆกันทุกที่ เช่นผัดผัก ไก่ เป็ด หมู ส่นของหวานก็ เช่น แตงโมง ส้ม ซึ่งโดยรวมก็ถือว่าในระดับดีนะครับ เขาจัดเป็นโต๊ะจีน อาหาร 8-10 อย่างเลยล่ะ ทานกันแบบเหลือๆทุกมื้อ ส่วนรสชาดอาหาร ก็จะออกไปทางมันๆนิดหนึ่ง มีเผ็ดพอประมาณ (เขตอาป้า อากาศหนาวเขาเลยทานอาหารออกมันๆเพื่อสะสมไว้สู้ความหนาว)  การรัปทานอาหารโดยทั่วไปเขาใช้ตะเกียบกัน (ถ้าท่านใดไม่ถนัดก็คงต้องเตรียมอุปกรณไปนะครับ) ....

ขอบคุณที่ติดตาม พบกันในบล๊อก "ปี้เผิงโกว" ครับ

 


Jinlinlou Hotel ... อยู่หน้าอุทยาน


_________________

วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Si Thep Historical Park

 ++ เมืองโบราณศรีเทพ ++






เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธุ์ 2567 มีโอกาศได้ไปชมความยิ่งใหญ่ของเมืองโบราณศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ที่เพิ่งได้ขึ้นทะเทียนเป็นเมืองมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมใหม่ล่าสุดของไทยจาก UNESCO ... โดย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 ยูเนสโก ประกาศให้ เมืองโบราณศรีเทพ "เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม" ซึ่งเป็นแหล่งที่ 4 ของไทย และเป็นมรกดโลกแห่งที่ 7 ของประเทศไทย มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า The Ancient Town of Si Thep and its Associated Dvaravati Monuments

การได้ไปยืน เดิน และชมโบราณสถานแห่งนี้ นับว่าเป็นเรื่องโชคดีมากๆ ได้จินตนาการกับการดำรงอยู่และความยิ่งใหญ่ในสถาปัตยกรรม ชุมชน ของคนในยุคนั้น ไม่ว่าเขาจะมีเชื้อสายใดก็ตาม แต่สิ่งที่เห็นตามที่ยังเหลืออยู่นั้นมันยิ่งใหญ่สมควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง.

 

แผนผังเมืองศรีเทพ

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่คาดว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี มีร่องรอยโบราณสถานที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันมากมาย โบราณสถานส่วนใหญ่มีรูปแบบศิลปะทั้งแบบทวารวดี และเขมรโบราณ หลายคนเรียกสถานที่นี้ในชื่อสั้น ๆ ว่า “เมืองโบราณศรีเทพ”

 



เขาคลังนอกก่อนขุดค้น
 
เราขับเข้าเมืองศรีเทพและตามทางหลวงหมายเลข 2219 ไปทางวิเชียรบุรี พอถึงโรงเรียนบ้านบึงนาจานขับเลยไปนิดเดียวมีทางเลี้ยวซ้ายไปโบราณสถานเขาคลังนอก โดยขับไปประมาณ 2 กม. ก็จะถึงที่ตั้งโบราณสถานเขาคลังนอก ซึ่งยิ่งใหญ่และอลังการมากๆ บริเวณข้างๆโบราณสถานเขาคลังนอกยังมีการขายสินค้า OTOP ของชาวบ้าน พร้อมของที่ระลึกเกี่ยวกับโบราณสถานศรีเทพนี้ด้วย ... ที่อาคาร Information (ศูนย์ข้อมูล) ยังแสดงแบบจำลองให้เราได้ชมด้วย



ภาพมุมสูง (Cr. ภาพจาก web)
 

โบราณสถานเขาคลังนอก เป็นศาสนสถานขนาดใหญ่เนื่องในวัฒนธรรมทวารวดี ตั้งอยู่นอกเมือง ห่างออกไปราว 2 กิโลเมตร สันนิษฐานว่ามีลักษณะเป็นมหาสถูป มีฐานขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อด้วยศิลาแลงที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ประดับตกแต่งฐานด้วยอาคารจำลองขนาดต่างๆอยู่โดยรอบ ภายในทึบตัน มีบันไดทางขึ้นทั้ง 4 ด้าน ถือได้ว่าเขาคลังนอกเป็นศาสนสถานที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์มากที่สุดในบรรดาศาสนสถานที่ร่วมสมัยเดียวกัน



แบบจำลองโบราณสถานเขาคลังนอก

 

กราฟฟิกภาพเขาคลังนอก (Cr. Thai PBS)
 
ที่มาของชื่อเขาคลังนอก เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันมาแต่เดิม เพราะเหตุว่ามีรูปร่างลักษณะคล้ายภูเขาสูงใหญ่และเชื่อกันว่ามีทรัพย์สมบัติ และอาวุธเก็บรักษาอยู่ภายใน ประกอบกับในเขตเมืองโบราณศรีเทพ มีโบราณสถานที่มีลักษณะคล้ายภูเขาที่เรียกว่า “เขาคลังใน” จึงได้เรียกโบราณแห่งนี้ว่า “เขาคลังนอก”
 











โบราณสถานเขาคลังนอกเปิดให้เข้าชมทุกวัน ฟรี.

......................
 

จากโบราณสถานเขาคลังนอกเราขับออกไปทางเดิมที่เราเข้ามา ตามป้ายไปอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ซึ่งเป็นพื้นที่หลักสำหรับการเที่ยวชมเมืองโบราณศรีเทพในคราวนี้....เมืองศรีเทพเขามีคูน้ำล้อมรอบนะ เราข้ามคูน้ำถึงประตูเข้า แล้วไปที่ลานจอดเพื่อติดต่อซื้อบัตรเข้าชม โดยคนไทยค่าเข้าชมชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 16.30 น. หรือโทร. 0 5692 1317, 0 5692 1322 



 

เมืองโบราณศรีเทพ มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ โดยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,889 ไร่ และแบ่งออกเป็น 2 ส่วนที่เชื่อมกัน คือ เมืองส่วนใน (1,300 ไร่) และเมืองส่วนนอก (1,589 ไร่) มีสระน้ำและโบราณสถานกระจายอยู่ทั้งสองส่วน ซึ่งจากการขุดค้นพบว่า เฉพาะส่วนด้านในมีสระน้ำ หนองน้ำกระจายอยู่กว่า 70 บ่อและมีร่องรอยของโบราณสถานกว่า 48 แห่ง ซึ่งภายในอุทยานฯ จะมีรถรางนำเที่ยวชมรอบอุทยานฯ (นั่งได้ไม่เกินคันละ 20 คน) สามารถติดต่อล่วงหน้าเพื่อขอไกด์นำบรรยายได้ 

 

แผนผังการเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ...เริ่มจากอุทยานศรีเทพด้านบน เข้าไปในเมืองใน


บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพในปัจจุบัน  ประกอบไปด้วยสองส่วนด้วยกัน   ส่วนแรกเป็นพื้นที่ในส่วนเมืองโบราณศรีเทพ  ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ  2,889 ไร่  หรือประมาณ 4.7  ตารางกิโลเมตร  มีลักษณะเป็นเมืองที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบแบบเมืองในวัฒนธรรมทวารวดี    ที่ยังคงสามารถรักษารูปแบบแต่เดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์มากที่สุดโดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงแห่งหนึ่งของประเทศไทย  แบ่งพื้นที่ภายในเป็นสองเมืองที่นับได้ว่าเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะที่พบไม่มากนักในเมืองร่วมสมัยเดียวกันที่พบในปัจจุบัน โดยเมืองในมีพื้นที่ประมาณ 1,300 ไร่ เป็นเมืองรูปเกือบกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  1.5  กิโลเมตร  มีช่องประตูเมือง  6  ช่องทางและมีโบราณสถาน    ซึ่งได้รับการขุดแต่งและบูรณะแล้วทั้งหมดประมาณ  40  แห่ง  อันมีโบราณสถานเขาคลังใน   โบราณสถานปรางค์สองพี่น้องและโบราณสถานปรางค์ศรีเทพเป็นกลุ่มโบราณสถานสำคัญ รวมทั้งมีสระน้ำและหนองน้ำขนาดใหญ่จนถึงเล็กกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปประมาณ  70  สระ  ในขณะที่    เมืองนอกมีพื้นที่ประมาณ  1,589 ไร่  เป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าต่อออกไปทางด้านทิศตะวันออกของเมืองใน  มีช่องประตูเมือง 6  ช่องทางและมีโบราณสถานซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและยังไม่ได้มีการขุดแต่งและบูรณะทั้งหมดประมาณ 54 แห่ง รวมทั้งมีสระน้ำขนาดใหญ่จนถึงเล็กกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปประมาณ  30  แห่ง  มีสระขวัญเป็นสระน้ำสำคัญที่มีขนาดใหญ่และตั้งอยู่กลางเมืองและ ส่วนที่สองเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกเมืองโบราณศรีเทพ  ซึ่งเท่าที่สามารถสำรวจได้ในปัจจุบันนั้นมีโบราณสถานที่ยังมิได้มีการขุดแต่งและบูรณะประมาณ  50  แห่งและส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของเมืองโบราณศรีเทพ  โดยมีโบราณสถานเขาคลังนอกที่เป็นสถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดีเช่นเดียวกันกับโบราณสถานเขาคลังใน และโบราณสถานปรางค์ฤาษีที่เป็นสถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมเขมรเช่นเดียวกันกับโบราณสถานปรางค์สองพี่น้องและโบราณสถานปรางค์ศรีเทพ เป็นโบราณสถานสำคัญ

 

 

นอกจากนั้น บริเวณนอกเมืองโบราณศรีเทพไปทางด้านทิศตะวันตก ประมาณ 20 กิโลเมตร ยังมีโบราณสถานที่ถ้ำเขาถมอรัตน์เป็นภาพสลักบนผนังถ้ำ เป็นรูปพระพุทธรูป และพระโพธิ์สัตว์ ที่สร้างขึ้นตามความเชื่อของพุทธศาสนาลัทธิมหายานเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดี   ราวพุทธศตวรรษที่ 14 อันมีความเกี่ยวพันที่ใกล้ชิดกับคติความเชื่อของผู้คนในเมืองโบราณศรีเทพในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย

สำหรับเส้นทางการท่องเที่ยวและการศึกษาภายในอุทยานประวัติศาสตร์   เพื่อให้ง่ายต่อการสร้างความรู้ความเข้าใจสามารถเดินทางเข้าชมเข้าศึกษาตามลำดับได้ดังนี้
(ที่มา: กรมศิลปากร)

การเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เขาจะมีรถรางพาเราเข้าไปใจกลางเมืองศรีเทพ แล้วปล่อยให้เราเข้าชมตามอัธยาศัย โดยเริ่มจากหลุมขุดค้นเป็นต้นไป และเราจะกลับมาขึ้นรถกลับออกไปที่ลานจอดรถได้จากจุดเดียวกันนี้.

 


อาคารหลุมขุดค้นทางโบราณคดี



หลุมขุดค้น

อาคารหลุมขุดค้นทางโบราณคดี เป็นอาคารจัดแสดงโครงกระดูกมนุษย์และโครงกระดูก ช้าง ที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อปี พ.ศ. 2531 โดยโครงกระดูกมนุษย์และสิ่งของเครื่องใช้ที่พบร่วมกันนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานของชุมชนในระยะแรกเริ่มสมัยก่อนประวัติศาสตร์ภายในเมืองโบราณศรีเทพที่มีมากว่า 2,000  ปี  ก่อนที่จะมีการพัฒนาขึ้นมาเป็นสังคมเมืองโดยการรับวัฒนธรรมทวารวดีและเขมรตามลำดับ ส่วนโครงกระดูกช้างนั้นนับเป็นหลักฐานสำคัญประการหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการใช้สอยโบราณสถานเนื่องใน  วัฒนธรรมทวารวดีสืบเนื่องมาถึงวัฒนธรรมเขมรในทางใดทางหนึ่ง  เนื่องจากมีการพบอยู่ในระดับเดียวกันกับฐานโบราณสถานชั้นล่างสุด
(ที่มา: กรมศิลปากร)



โครงกระดูมนุษย์สูง 180 ซม.



ปรางค์สองพี่น้อง


ปรางค์สองพี่น้อง  เป็นสถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมเขมร  มีลักษณะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐสององค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน  หันหน้าไปทางทิศตะวันตก  ทั้งสององค์ส่วนยอดพังทลายไปจนหมดสิ้นแล้ว  แต่องค์เล็กยังหลงเหลือทับหลังศิลาทรายที่มีสภาพสมบูรณ์ประดับอยู่จำหลักเป็นรูปอุมามเหศวร (พระอิศวรอุ้มนาง ปารพตี (อุมา) ประทับนั่งอยู่เหนือโคอศุภราชหรือนนทิ)  จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุที่พบทำให้อนุมานได้ว่าปรางค์สองพี่น้องนี้คงสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยเนื่องในศาสนาฮินดู(พราหมณ์)ลัทธิไศวนิกายในราวพุทธศตวรรษที่  17  แล้วต่อมาจึงได้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายานในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่  7  (พ.ศ. 1724 - 1760) 

ทั้งนี้  บริเวณทางเดินรูปกากบาทด้านหน้าปรางค์สองพี่น้องที่ต่อเชื่อมกับทางเดินโบราณนั้นได้มีการค้นพบเทวรูปพระอาทิตย์หรือสุริยเทพผู้เป็นเทพแห่งแสงสว่างและความอบอุ่น  สลักจากศิลาทรายที่มีกำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 13  ซึ่งเมื่อนับรวมกับที่เคยพบมาก่อนแล้วอีก  5 องค์ ทำให้มีการพบทั้งหมดถึง  6  องค์  ซึ่งทั้งหมดมีกำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่  12 - 13  (ปัจจุบันจัดแสดงและเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร  กรุงเทพมหานคร  จำนวน  3  องค์  จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์นอร์ตัน  ไซมอน  สหรัฐอเมริกา  จำนวน  1  องค์  จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  สมเด็จพระนารายณ์  จังหวัดลพบุรี  จำนวน 1  องค์ และเก็บรักษาไว้ที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ  จำนวน 1 องค์)  ซึ่งนับเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในศาสนาฮินดูที่เคารพนับถือในพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ อันจะมีพิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับประเพณีมหาสงกรานต์ที่มีการพบเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยปัจจุบัน
(ที่มา: กรมศิลปากร)
 



ปรางค์องค์เล็กทางขวามือพร้อมทับหลังบนประตู



ทับหลังที่ปรางค์สองพี่น้ององค์เล็ก







เขาคลังใน  เป็นศาสนสถานสำคัญประจำเมืองที่มีขนาดใหญ่เนื่องในวัฒนธรรมทวารวดี     ที่สร้างขึ้นพร้อมกับสมัยแรกสร้างเมืองในราวพุทธศตวรรษที่  12  เพื่อเป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิหินยานหรือเถรวาท แล้วต่อมาจึงได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายานในราวพุทธศตวรรษที่  14  และคงใช้สอยตลอดมา จนกระทั่งเมืองถูกทิ้งร้างไปในราวพุทธศตวรรษที่ 18 มีลักษณะก่อด้วยศิลาแลง หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก บริเวณฐานด้านทิศใต้และตะวันตกยังหลงเหลือประติมากรรมปูนปั้นรูปคนแคระที่มีศีรษะเป็นบุคคลหรือสัตว์ต่างๆ สลับกับรูปสัตว์ในท่าแบกประกอบลายพันธ์พฤกษา  ซึ่งพบและหลงเหลือประดับอยู่ที่ฐานโบราณสถานเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยปัจจุบัน
(ที่มา: กรมศิลปากร)






รูปปั้นต่างๆที่ฐานเขาคลังในได้สร้างหลังคาป้องกันแดดและฝนไว้






รูปปั้นที่เป็นแบบไอศครีมศรีเทพ



รูปปั้นสิงห์โตที่ฐาน

มีคำถามว่าในเมื่อพื้นที่ในบริเวณที่เป็นเมืองศรีเทพในเวลานั้น ไม่มีสัตว์จำพวกสิงห์โตอยู่เลย แล้วช่างปั้นไปเอาแบบสิงห์โตนี้มาจากไหน?  ซึ่งข้อสันนิษฐานคำตอบอาจจะเป็นไปได้ว่า เวลานั้นเมืองศรีเทพได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติแล้วและช่างปั้นที่มาปั้นสิงห์โตนี้อาจจะเคยอยู่ในที่มีสิงห์โตหรือเห็นสิห์โตมาก่อน เลยจำมาปั้นได้ที่เมืองศรีเทพนี้.



ล้อธรรมจักรศรีเทพอายุ 1,400 - 1.100 ปี



ข้อมูลล้อธรรมจักร



ถ่ายกับ วัตถุโบราณที่ขุดค้นได้บริเวณปรางค์ศรีเทพ



ปรางค์ศรีเทพ


ปรางค์ศรีเทพ   เป็นสถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมเขมรมีลักษณะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่ หันหน้าไปทางด้านตะวันตกในแนวแกนเดียวกับปรางค์สองพี่น้อง  จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุที่พบโดยเฉพาะทับหลังทำให้อนุมานได้ว่าคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยเนื่องในศาสนาฮินดู (พราหมณ์)  ลัทธิไศวนิกายในราวพุทธศตวรรษที่  16 - 17   ต่อมาคงมีการพยายามซ่อมแซมดัดแปลงแต่ยังไม่แล้วเสร็จเพื่อใช้เป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายานในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7  (พ.ศ. 1724 - 1760)  เช่นเดียวกันกับปรางค์สองพี่น้อง เนื่องจากมีการพบชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมที่เป็นเพียงโกลนอยู่เป็นจำนวนมาก



สระปรางค์ เป็นสระที่ใหญ่ที่สุดในจำนวน 70 สระในเมืองในอุทยานศรีเทพ



วัตถุโบราณที่ขุดค้นได้และนำมาวางไว้ใกล้อาคารข้อมูล
 
ศูนย์บริการข้อมูล เป็นอาคารจัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดีของเมืองโบราณศรีเทพ  รวมทั้งการอนุรักษ์ให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ภายในประกอบด้วยห้องประชุม หรือบรรยายสรุปก่อนการเข้าชมนิทรรศการเป็นหมู่คณะ ห้องนิทรรศการถาวรด้วยสื่อทันสมัย ห้องสร้างเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองของเด็ก  ส่วนจำหน่ายหนังสือ  เครื่องดื่มและของที่ระลึก  และอาคารปฏิบัติการทางโบราณคดีที่ใช้จัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้จากการดำเนินงานทางโบราณคดีภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ และบริเวณใกล้เคียง



โบราณวัตถุที่ได้จากการดำเนินงานทางโบราณคดีภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ



ไอศครีมศรีเทพ ซื้อได้ใกล้กับจุดจำหน่ายบัตรเข้าอุทยาฯ


รุ่งเรือง สู่เมืองร้าง .. 

ทราบว่า “ศรีเทพ” เจริญรุ่งเรืองถึง 700-800 ปี แล้วเพราะอะไร ถึงร้างได้ นักโบราณคดีชื่อดัง อธิบายว่า ทุกเมืองที่ร้างไป ย่อมมีสาเหตุ บางเมืองถูกพัฒนาจนถึงสูงสุด จนไม่สามารถพัฒนาได้แล้ว ก็เป็นได้ เช่น มีคนมากเกินไป หรือ...การต้องเผชิญหน้ากับโรคระบาด และเมื่อมีคนเจ็บตายมาก ก็อาจต้องย้ายเมือง
หรือ...อาจเกิดศึกสงคราม และการกวาดต้อนผู้คน แต่โดยปกติแล้ว เวลาเกิดสงคราม ก็มักจะทำลายเมืองไปด้วย เพื่อไม่ให้คนกลับมาอยู่

แต่กับศรีเทพ มีความเจริญเป็นอย่างมาก ทั้งที่อยู่ในสมัยทวารวดี แต่พอพุทธศตวรรษที่ 16-18 ก็เริ่มมีศิลปะแบบเขมรเข้ามา จากนั้นหลังพุทธศตวรรษ ที่ 18 อาณาจักรฝั่งเขมรเสื่อมอำนาจลง ทำให้ปกครองอาณาจักรต่างๆ ที่เคยอยู่ในอาณัติไม่ได้ ดังนั้น จึงมีการตั้งตัวเองเป็นใหญ่ และวิธีการสร้างบ้านแปงเมือง คือ การ “กวาดต้อน” ผู้คน และจากข้อสังเกต คือ ช่วงเวลานั้น เมืองสุโขทัย หรืออยุธยา ที่กำลังเริ่มใหญ่ อาจจะกวาดต้อนผู้คนจากศรีเทพ เข้ามารวมก็เป็นได้ จึงทำให้เมืองเก่าที่เคยอยู่บริเวณนั้น ร้างลาผู้คน นี่คือข้อสันนิษฐานที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะจากการศึกษา เรื่อง พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หลังสวรรคต เมืองก็ถูกทิ้งร้างเช่นเดียวกัน
(ที่มา: https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2726815)

 
 


เขาคลังใน